หลังประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้กับประเทศคู่ค้า โดยส่งผลให้สินค้าส่งออกไทยจะถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% และ 36% ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 9 เมษายน 2568 ซึ่งกระทบต่อการส่งออกมูลค่ามหาศาล รวมถึงจีดีพีของประเทศ ทำให้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นายสมชาย พรรัตนเจริญ ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย ฉายภาพให้เห็นถึงผลกระทบของประเทศไทย หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากไทย 36% ส่งแรงกระเพื่อมรุนแรงไปยังภาคการค้าและผู้บริโภคทั่วประเทศ
“วันนี้ไม่มีหน่วยงานไหนขยับ ไม่มีมาตรการรองรับ แล้วเราจะอยู่รอดกันได้อย่างไร?”
ผลกระทบจากนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ อาจลึกซึ้งกว่าที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจสะท้อน โดยเฉพาะในมิติที่ “ตัวเลขส่งออก” ที่ดูเหมือนจะโตนั้น จริงๆ แล้วเป็นเพียงการส่งออกผ่านฐานการผลิตในไทยจากต่างชาติ ไม่ใช่สินค้าที่ไทยได้ประโยชน์โดยตรง
นายสมชาย บอกว่า เรากำลังกลายเป็นประเทศที่ให้ต่างชาติเช่าพื้นที่ผลิตเพื่อส่งออก ไม่ใช่ผู้ส่งออกตัวจริง เราเสียภาษี เสียทรัพยากร แต่ไม่เคยได้อำนาจต่อรองกลับคืน
แม้ประเทศไทยจะมีตัวเลขการส่งออกสูง แต่หากพิจารณาให้ลึกลงไป กลับพบว่าส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศอย่างแท้จริง เพราะไม่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมต้นน้ำหรือสร้างโอกาสให้คนในท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มขึ้น
“ถ้ารัฐยังนิ่งอยู่แบบนี้...เรากำลังจะกลายเป็นแค่ ‘ประเทศทางผ่าน’ ที่ไม่มีศักยภาพในสายตาโลก”
ต้องยอมรับว่าความล่าช้าและขาดการสื่อสาร ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยและ SMEs ไม่มีความหวัง ไม่มีข้อมูลในการวางแผนอนาคต แม้แต่การหาตลาดใหม่หลังจากถูกตัดโอกาสทางการค้าโดยสหรัฐฯ ก็ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง
ในภาวะที่โลกเต็มไปด้วยวิกฤต ทั้งสงคราม เศรษฐกิจถดถอย และภัยพิบัติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง วันนี้รัฐบาลต้องหันมาใช้แนวคิด “Thailand First” หรือ “ไทยต้องมาก่อน” มาใช้เป็นกรอบในการกำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งนี้ภาครัฐควรพิจารณามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม เช่น การสนับสนุนการส่งออกสินค้าไทยและการสนับสนุนภาคการเกษตร ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาราคาสินค้าตกต่ำ หากรัฐบาลสามารถดำเนินการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ประเทศไทยอาจสามารถฟื้นฟูสถานการณ์และกลับมายืนหยัดในฐานะประเทศที่สามารถพึ่งพาตนเองได้
“วันนี้ไทยต้องเปลี่ยนทัศนคติ ต้อง Thailand First ต้องพึ่งพาตนเอง และการหาวิธีใหม่ ๆ ในการทำการค้าระหว่างประเทศเพื่อให้ประเทศไม่ต้องพึ่งพาแค่ตลาดเดียว แต่สามารถกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดอื่น ๆ ได้มากขึ้น ไทยควรจับมือกับประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบเช่นกันเพื่อสร้างโอกาสและเสริมความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้น
“อยากเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งปรับท่าที เสริมมาตรการป้องกันและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากฐานราก พร้อมวางระบบภาษีและการค้าระหว่างประเทศใหม่ ให้เท่าทันกับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง”