ผลการประชุมสภากรุงเทพ มหานคร (สภากทม.) กรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา กลายเป็นปมขัดแย้ง ถึงขั้นเดินออก(วอล์กเอาต์) นอกห้องประชุม กรณี นายชัชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกทม. ในฐานะฝ่ายบริหาร เสนอญัตติขอรับความเห็นชอบจากสภากทม. ในสองประเด็น
ได้แก่ 1.แนวทางการเก็บค่าโดยสาร ส่วนต่อขยาย ที่ 2 (แบริ่ง-สมุทรปราการ /หมอชิต-คูคต) และ 2.การขอรับความเห็น การดำเนินการ สำหรับรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งระบบ อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าว มีสมาชิกสภากทม. (ส.ก.) จากพรรคก้าวไกลทักท้วง พร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตว่า กทม.ไม่มีอำนาจหน้าที่ กำหนดอัตราค่าโดยสารรวมถึงไม่จำเป็นต้องนำเข้าสู่การพิจารณาสภากทม.
ตั้งกรรมการเคาะราคา
เนื่องจากเป็นอำนาจตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่3/2562 ตั้งคณะกรรมการพิจารณาโครงการสายสีเขียว ตามคำสั่งข้อ 3 ที่มีปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานและปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นกรรมการและเลขานุการ เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2562 แต่ปรากฏว่า กทม.ยุค พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯกทม.
ไม่มีงบประมาณพอที่จะชำระหนี้จากการรับโอนงานโยธาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และหนี้เอกชนจากการจ้างเดินรถ การลงทุนระบบไฟฟ้าเคลื่องกล ส่วนต่อขยายสายสีเขียว คณะกรรมการฯ จึง เจรจากับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BTSC
หาทางออกขยายสัญญาสัมปทานออกไป 30 ปี จากปี 2572 เป็นปี 2602 คิดอัตราค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาท ตลอดสาย แลกกับภาระหนี้ หนึ่งแสนล้านบาท และส่งเรื่องขอความเห็นชอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เห็นชอบเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่ปรากฏว่าถูกคัดค้านเป็นวงกว้างโดยเฉพาะกระทรวงคมนาคม
เมื่อนายชัชชาติเป็นผู้ว่าฯกทม. กระทรวงมหาดไทยเพียงให้กทม.พิจารณาว่าจะมีแนวทางแก้ไขกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวหรือไม่ ซึ่งเรื่องยังคาราคาซังเพราะหาทางออกไม่ได้
ถกโอนสายสีเขียวคืนรฟม.
ด้านนายไสว โชติกะสุภา ในฐานะประธานคณะกรรมการการจราจรและขนส่งกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า จากการตั้งข้อสังเกตของ ส.ก. จากพรรคก้าวไกล ทักท้วง กรณีโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ กทม.บริหาร ตามคำสั่งคสช. มาตรา 44 ยอมรับว่า ที่ผ่านกระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาค่าโดยสารจริง แต่ไม่เคยพบการรายงานตัวเลขแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการจราจรฯ จะหารือกับฝ่ายข้าราชการกทม.ที่เกี่ยวข้องกับการจราจรและขนส่งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยการตีความของสภากทม.คือไม่มีอำนาจหน้าที่อนุมัติ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวและอาจส่อขัดกฎหมาย
เพราะเป็นอำนาจโดยตรงของผู้ว่าฯกทม. เท่านั้นที่จะตัดสินใจเรื่องการจัดเก็บค่าโดยสาร ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-สะพานใหม่-คูคต ในอัตราค่าโดยสาร 15 บาท เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯกทม.ที่สามารถดำเนินการได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากสภากทม.
ส่วนการขอชดเชยงบประมาณเพื่อดำเนินการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งคณะกรรมการจราจรฯและสภากทม.ไม่เห็นด้วย เนื่องจากการดำเนินการก่อสร้างของโครงการฯในช่วงส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า และส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต และช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ
เป็นการดำเนินการที่ไม่ได้ใช้งบประมาณของ กทม. ตั้งแต่แรก อีกทั้งยังติดปัญหาในเรื่องข้อกฎหมาย ทำให้ไม่สามารถพิจารณาเห็นชอบตามที่ กทม.เสนอได้ นายไสวอธิบายต่อว่า การโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวคืน รฟม. สามารถกระทำได้ เพราะยังไม่มีการลงนามการจ่ายหนี้ส่วนงานโยธาคืน แม้จะมีมติ ครม. ชุด คสช.โอนให้ กทม. ก็ตาม
ส่อเลื่อนยาวเก็บค่าโดยสาร
อย่างไรก็ตาม ต้องนับหนึ่งใหม่ และต้องเลื่อนการจัดเก็บค่าโดยสารออกไปไม่มีกำหนด จนกว่าจะหาข้อยุติ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้ว่าฯกทม.จะตัดสินใจและหากถึงที่สุดแล้ว นายชัชชาติ มีทางออกหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเจรจา เพื่อขอโอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวคืนรฟม. และ 2. หารือกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวว่า ประชุมสภากทม.มีญัตติให้ถอนวาระและไม่พิจารณาเรื่องดังกล่าว เนื่องจากข้อมูลยังไม่ครบถ้วนโดยให้ความเห็นว่าควรให้คณะกรรมการวิสามัญการจราจรและขนส่ง เสนอรายงานต่อสภากทม. รับทราบก่อน
ทั้งนี้ในที่ประชุมสภากทม. หลายท่านให้ความเห็นว่าไม่ใช่อำนาจของกทม.ที่เป็นผู้จัดเก็บค่าโดยสาร แต่เป็นอำนาจของคณะกรรมการตามมาตรา 44 ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้แต่งตั้ง ซึ่งจะต้องนำเรื่องนี้เข้าพิจารณาอีกครั้ง
“เราไม่ได้ขอสภากทม.อนุมัติการจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-คูคต จำนวน 15 บาท แต่เราต้องการแจ้งให้สภากทม.รับทราบ เพราะมีส่วนต่างที่ต้องชำระเพิ่มเติม หากต้องใช้งบประมาณก็ต้องผ่านความเห็นชอบจากสภากทม.ด้วยทั้งนี้การจัดเก็บค่าโดยสารดังกล่าวต้องหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง”
ส่วนกรณีที่กทม.จะทำหนังสือตอบกลับความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อกระทรวงมหาดไทยนั้น ทางกทม.มีความคิดเห็นว่าการปฏิบัติต่างๆ ควรดำเนินการตามพ.ร.บ.ร่วมทุน (PPP) โดยการคำนวณค่าโดยสารต่างๆ จะต้องมีความละเอียดและรอบคอบ
ทุกสายรัฐควรสนับสนุน
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาโครงสร้างพื้นฐานของรถไฟฟ้าทุกสายพบว่าทางภาครัฐมีส่วนช่วยสนับสนุนลงทุนค่าก่อสร้าง ขณะที่ด้านโครงสร้างพื้นฐานของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทางกทม.อยากให้ภาครัฐช่วยรับผิดชอบและลดภาระให้กทม. ท้ายที่สุดผู้ที่ต้องชำระคือประชาชน ซึ่งจะทำให้ค่าโดยสารมีราคาแพง
เพราะต้องชำระค่าโครงสร้างพื้นฐานงานโยธา ซึ่งการใช้รถไฟฟ้าถือว่ามีผลประโยชน์ทางอ้อม เช่น ลดมลภาวะ, ลดการจราจรติดขัด อีกทั้งภาครัฐยังได้ประโยชน์จากการเก็บภาษีความเจริญของเมืองที่มีการพัฒนาด้วย
ปัจจุบันกทม.ยังไม่สามารถชำระหนี้ส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ให้กับเอกชนได้ เนื่องจากส่วนต่อขยายที่ 1 ช่วงอ่อนนุช-แบริ่ง และช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า ถูกรวมกับมูลค่าหนี้ในการขยายสัญญาสัมปทาน ซึ่งเรื่องนี้ยังอยู่ที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)
โดยปกติ กทม.จะมีการตั้งงบประมาณเพื่อชำระหนี้รายปีอยู่แล้ว ขณะที่ส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เป็นเรื่องที่ยังไม่ได้นำเข้าที่สภากทม.รับทราบ เพราะต้องกลับไปดำเนินการข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนนำมาเสนอในครั้งถัดไป
“หากดูจากสถานการณ์รถไฟฟ้าสายสีเขียวในอนาคต เชื่อว่าดำเนินการต่อได้ เพราะเป็นเส้นทางที่ประชาชนใช้บริการมากที่สุด แต่ประเด็นคือเรามีรายได้เข้ามา แต่ถ้าค่าใช้จ่ายในการจ้างเดินรถมีราคาแพงมาก สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร ทำให้เราขาดทุน ส่งผลให้กลายเป็นภาระในอนาคต ถึงแม้ว่าโครงการฯจะยังไม่ได้ข้อสรุป เชื่อว่ายังคงเดินรถให้บริการประชาชนได้เหมือนเดิม หากภาครัฐมีการปลดเรื่องข้อกฎหมายตามมาตรา 44 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะทำให้กทม.มีงบประมาณมาชำระหนี้ให้เอกชนได้บ้าง”
นายชัชชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาก่อนที่จะได้เป็นผู้ว่าฯกทม.คนส่วนใหญ่เล็งเห็นว่าไม่ควรต่อสัญญาสัมปทานหลายปี เพราะไม่สามารถทราบได้ว่าความเสี่ยงในอนาคตจะเป็นอย่างไร และประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดหรือไม่ หากดำเนินการตามพ.ร.บ.ร่วมทุน (PPP) เชื่อว่ามีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะช่วยดูรายละเอียดการบริหารโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวได้ดีขึ้น แลละสามารถตอบข้อสงสัยให้กับประชาชนได้
โอนคืนยึดขั้นตอนกฎหมาย
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) มีแผนจะโอนทรัพย์สินและภาระทางการเงินในการบริหารรถไฟฟ้าสายสีเขียวคืนให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ดูแลนั้น เบื้องต้นกทม. ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบกฎหมายและมติ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ตามหลักธรรมภิบาลก่อน
“หากกทม.จะดำเนินการโอนคืนทรัพย์สินและภาระทางการเงินรฟม.จริงๆจะต้องดำเนินการขอโอนไปตามขั้นตอนของกฎหมาย”
บีทีเอสหนุนกทม.
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)หรือบีทีเอสซี กล่าวถึงกรณีที่สภากทม.ถอนวาระของผู้ว่าฯกทม.ในการดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า ได้รับทราบในเรื่องนี้แล้ว ทางบีทีเอสคงต้องรอดูว่าผู้ว่าฯกทม.จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
“กรณีที่ผู้ว่าฯกทม.มีแผนจะดำเนินการจัดเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-คูคต ในอัตรา 15 บาทตลอดสายนั้น เรามองว่าได้เปิดให้บริการประชาชนฟรีมาหลายปีแล้วก็ควรต้องจัดเก็บค่าโดยสาร แต่จะจัดเก็บค่าโดยสารเท่าไรนั้นเป็นเรื่องของกทม.เป็นผู้ดำเนินการ”