นายพิทยา ปราโมทย์วรพันธุ์ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม (ศปก.พล.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้นัดอ่านคำอุทธรณ์ของบริษัท แวกซ์ กาเบ็จ รีไซเคิล เซ็นเตอร์ จำกัด จำเลยที่ 1 และนายสมพงษ์ ลิ้มพัฒนสกุล จำเลยที่ 2
ที่ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าจำเลยทั้งสองประกอบกิจการถูกต้องตามกฎหมาย โรงงานไม่มีการระบายน้ำออกสู่ภายนอก หลุมฝังกลบเป็นการฝังกลบของเสียไม่อันตรายซึ่งมีการก่อสร้างถูกต้องตามหลักวิชาการ รวมถึงผลการตรวจสอบของ คพ.ที่ตรวจพบสารพิษมีค่าสูงเกินมาตรฐานเป็นส่วนผสมชนิดหนึ่งของยากำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในการเกษตร
ล่าสุดศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์ของจำเลย โดยไม่ให้ทุเลาการบังคับคดีแก่จำเลย ตามที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไว้เมื่อปี 2563 ให้จำเลยทั้งสองรับผิดชอบค่าสินไหมทดแทนและการกำจัดสารพิษ
รวมถึงฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้แก่โจทย์ทั้ง 3 ราย และสมาชิกกลุ่มในหมู่ 1 ตำบลน้ำพุ อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี นั่นหมายความว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคงมีผลบังคับต่อจำเลยต่อไป
นายพิทยา กล่าวว่า จากการกล่าวอ้างของจำเลย ว่าผลการตรวจสอบของ คพ.ที่ตรวจพบสารพิษมีค่าสูงเกินมาตรฐานเป็นส่วนผสมชนิดหนึ่งของยากำจัดศัตรูพืชที่ใช้ในการเกษตร นั้น คพ.ยืนยันผลการตรวจสอบเมื่อปี 2556 – 2561 ตรวจพบการปนเปื้อนของสารเคมีทั้งโลหะหนักและสารอินทรีย์ระเหยง่ายในบ่อสังเกตการณ์
ภายในโรงงานและบ่อน้ำใช้ของประชาชนบริเวณใกล้เคียงมีค่าไม่เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพน้ำใต้ดิน ตรวจพบสารอินทรีย์ระเหยง่ายในดินภายในโรงงานมีค่าสูง และตรวจพบสารอินทร์ระเหยง่ายในน้ำผิวดินบริเวณใกล้เคียงโรงงาน ประกอบกับทิศทางการไหลของชั้นน้ำบาดาลระดับตื้น บ่งชี้ได้ว่าสาเหตุเกิดจากกิจกรรมของโรงงานจริง
ทั้งนี้ คพ. กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้ร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากกรณีโรงงานดังกล่าว ปัจจุบันมีการขนของเสียที่ตกค้างภายในโรงงานทั้งที่ถูกเพลิงไหม้และไม่ถูกเพลิงไหม้ออกไปกำจัด
รวมถึงการเสนอของบกลางมาใช้ในการฟื้นฟูการปนเปื้อนในน้ำใต้ดิน และหน่วยปฏิบัติการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม จะติดตามคุณภาพสิ่งแวดล้อมและการแก้ไขปัญหาต่อไป นายพิทยา กล่าว