นายพันธนวุฒิ ถิ่นคำแบ่ง ประธานสหพันธ์ผู้นำเข้าเหล็กและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปิดเผยว่าการปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ โดยเฉพาะจากการนำเข้าสินค้า ที่มาขายตัดราคา แข่งกับผู้ผลิตของไทย จะมีการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด หรือ เรียกกันว่า เอ-ดี (Anti-dumping: AD) ให้ผู้นำเข้า จะต้องเสียภาษีแพงขึ้น ซึ่งปัจจุบัน ไทย ใช้มาตรการ เอ-ดี กับหลายสินค้า โดยเฉพาะเหล็กแต่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในประเทศขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ใช้สินค้าเหล็กเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าต่อเนื่อง ออกมาเรียกร้องให้ทบทวนมาตรการดังกล่าว
เพราะที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบมาโดยตลอด จากต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเอกชนได้มายื่นหนังสื่อ ถึงกรมการค้าต่างประเทศ โดยขอให้ทบทวนแนวทางการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุนซึ่งสินค้าจากต่างประเทศสินค้าประเภทเหล็กในการขอให้ยุติการใช้มาตรการทั้งหมด หรือ ลดขอบเขตลงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตหลังคาเหล็ก เพื่อให้ผู้บริโภคได้ใช้สินค้าดีมีคุณภาพ มีการแข่งขันที่เป็นธรรม สามารถเลือกใช้สินค้าจากต่างประเทศได้
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สินค้าเหล็ก หลายรายการ มีการบังคับใช้มาตรการ เอ-ดี และต่ออายุนานเกินระยะเวลาปกติตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว โดยเฉพาะเหล็กกล้าไร้สนิมรีดเย็น และเหล็กแผ่นรีดร้อน ที่บังคับใช้มาประมาณ 20 ปีแล้ว
จึงมองว่า นานพอที่อุตสาหกรรมภายใน จะได้ปรับตัว และพัฒนาให้สามารถแข่งขันได้แล้ว ส่วนที่กังวลว่าจะกระทบอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์นั้น ข้อเท็จจริง ตัวถังรถยนต์ ไม่ได้ใช้แผ่นเหล็กที่ผลิตในประเทศ รวมทั้งเครื่องยนต์และอุปกรณ์สำคัญหลายส่วน ยังจำเป็นต้องพึ่งพานำเข้า มีเพียงส่วนประกอบย่อย เช่น ขาเบรก หรือ บานพับ และ อื่นๆ ที่ใช้เหล็กที่ผลิตในประเทศเท่านั้น
รวมไปถึงที่มีการอ้างว่าไทยควรบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดฯ เช่นเดียวกับประเทศอื่น อาทิ สหรัฐอเมริกา เนื่องจากอุตสาหกรรมเหล็ก มีความสำคัญเชื่อมโยงกับความมั่นคงของประเทศนั้น ย้ำว่า ประเทศที่บังคับใช้มาตรการฯ นี้ล้วนมีทั้งสินแร่เหล็ก ถ่านหิน เป็นประเทศอุตสาหกรรมหนักชั้นนำของโลก มีโรงงานผลิตเหล็กต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ขนาดใหญ่ มีความพร้อมทั้งเทคโนโลยีและกำลังคน แตกต่างจากไทย ที่ไม่มีสินแร่เหล็ก ถ่านหิน แต่เป็นโรงเหล็กขั้นปลายน้ำเท่านั้น
สำหรับการปกป้อง คุ้มครอง และส่งเสริม ผู้ประกอบอุตสาหกรรมภายในประเทศนั้น สามารถดำเนินการได้ด้วยมาตรการอื่นได้ เช่น การส่งเสริมให้มีการใช้สินค้าเหล็กที่ผลิตภายในประเทศ (Made in Thailand: MIT) มากขึ้น / การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาคุณภาพสินค้า / การส่งเสริมให้โรงงานในประเทศผลิตเหล็กเกรดพิเศษให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค / การส่งเสริมให้เกิดโครงสร้างการผลิตที่ครบวงจร / การส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกในภาคอุตสาหกรรมหนักเพื่อช่วยลดตันทุนการผลิตเหล่านี้ จะเป็นมาตรการในเชิงบวก และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนมากกว่า
“กรณีที่ผู้ผลิตเหล็กในประเทศ ไปร้องให้พิจารณาออกมาตรการเอ-ดี จากต่างประเทศ เพราะขายในราคาถูกกว่า และคุณภาพไม่ได้มาตรฐานนั้น เสนอให้ภาครัฐออกมาตรฐานอุตสาหกรรมบังคับ โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. จะเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่า สินค้าที่มีการอ้างว่า ทุ่มตลาดเข้ามาในไทยไม่มีคุณภาพจริงหรือไม่ รวมถึงราคาเหล็กในประเทศ ทำไมจึงสูงกว่าต่างประเทศ ตามที่อ้างกันว่าราคาจากประเทศต้นทางสูง แต่มาขายในไทยต่ำกว่า ที่จะต้องหาข้อเท็จจริงตรงนี้ด้วย ซึ่งการใช้มาตรการ AD ก็เหมือนกับการผลักภาระให้ผู้บริโภค ซึ่งก่อนหน้านี้ เพิ่งมีการต่อมาตรการ AD นำเข้าเหล็กแผ่นรีดเย็นชุบหรือเคลือบด้วยโลหะเจือของอะลูมิเนียมและสังกะสีแบบจุ่มร้อนทาสี (PPGL) จากจีน สูงถึง 40.77% ทำให้ผู้ผลิตอุตสาหกรรมในประเทศสู้ราคาไม่ไหว จึงไม่มีการนำเข้ามาแล้ว”
ด้านนายชวลิต กาญจนาคาร ประธานสมาพันธ์ผู้บริโภคหลังคาเหล็กไทย กล่าวว่า ทำไมคนไทยต้องใช้ของแพง จากการตั้งภาษี AD ที่สูง ทำให้โรงงาน ไม่กล้าสั่งเหล็กมาผลิต ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ยอดขายหายไป 50% ซึ่งกระทบกับโรงงานผลิตหลังคาในประเทศที่อาจจะอยู่ไม่รอด กว่า 1,800 โรงงาน มีแรงงานประมาณ 10 คนต่อ 1 โรงงานเป็นอย่างน้อย ดังนั้นควรเปิดให้เป็นการค้าเสรี