นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า หลังจากมีการประกาศยุบสภาฯพร้อมกำหนดวันเลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม ทำให้พรรคการเมืองมีเวลาหาเสียงในช่วงสั้น ช่างมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจึงประเมินเม็ดเงินที่จะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้ง เพิ่มจากช่วงก่อนหน้านี้จาก 4-5 หมื่นล้านบาท เป็น 5-6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดเม็ดเงินสะพัดหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 1-1.2 แสนล้านบาทเป็นอย่างต่ำ และมีผลทำให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5-0.7
ภาพรวมปีนี้จึงยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจของประเทศจะขยายตัวได้ร้อยละ 3-4 แม้ปัจจัยภายนอกโดยเฉพาะเศรษฐกิจโลกจะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แต่การท่องเที่ยวรวมถึงเม็ดเงินจากการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหนุนที่ดี
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องจับตาหลังการเลือกตั้งแล้วว่าผลจะออกมาอย่างไร การเลือกนายกรัฐมนตรีและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ประเมินว่าจะอยู่ในช่วงเดือนสิงหาคม จะมีเสถียรภาพหรือไม่ เพราะจะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการสานต่อนโยบายของประเทศ หากการเมืองมีเสถียรภาพจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนส่งผลทำให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวได้ตั้งแต่ในช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป และฟื้นตัวชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 4
แต่หากการเมืองยังคงมีความไม่แน่นอน การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไม่มีเสถียรภาพเกิดความขัดแย้งของการเมืองนอกสภา จะทำให้นักลงทุนตัดสินใจชะลอดูความชัดเจนในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ หากไม่รุนแรงเศรษฐกิจจะเดินหน้าได้ แต่หากไม่มีเสถียรภาพอย่างชัดเจนจะส่งผลกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศแน่นอน ซึ่งหอการค้าไทยจะมีการประเมินภาวะเศรษฐกิจอีกครั้งหลังเดือนกรกฎาคม ที่ผลการเลือกตั้งมีความชัดเจนแล้ว ว่าพรรคการเมืองใดมีเสียงส่วนใหญ่ในสภาและการจับขั้วทางการเมืองจะออกมาในรูปแบบใด