สวัสดีครับท่านผู้อ่านฐานเศรษฐกิจ และผู้อ่านคอลัมน์รอบด้านการนิคมฯ ผ่านเทศกาลสงกรานต์ ที่ดูเหมือนว่า อุณหภูมิจะร้อนเกือบสูงสุดกันมาแล้วนะครับ แต่ความร้อนระอุของเศรษฐกิจประเทศ ก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เมื่อเดือนที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับท่านผู้อ่านในประเด็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไตรมาสแรกของปี 2566 ที่มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง ซึ่งหนึ่งในปัจจัยนั้น ได้แก่ การชักจูงการลงทุนของหน่วยงานภาครัฐ
ในเดือนนี้ ผมขอถือโอกาสบอกเล่าเรื่อง การชักจูงการลงทุนของ กนอ. ร่วมกับคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ระหว่างวันที่ 3-7 เมษายน ที่ผ่านมา โดยเรามีโอกาสไปโรดโชว์ที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสนี้ผมได้ร่วมบรรยายหัวข้อ “Investment Opportunities in Thai Industrial Estates” ณ นครเซี่ยงไฮ้
ในการสัมมนาชักจูงการลงทุนในประเทศไทย เพื่อตอกย้ำถึงความพร้อมของประเทศไทย โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมไทยในการรองรับ สนับสนุน และอำนวยความสะดวกแก่นักลงทุนจีน ซึ่งได้รับความความสนใจอย่างยิ่งจาก ผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของจีน ที่ต้องการขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทย
โดยขอรับทราบแนวทางการส่งเสริมการลงทุน และพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่มีความพร้อม รวมถึงห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่มีอยู่ในประเทศไทย และที่จะติดตามเข้ามาลงทุน ซึ่ง กนอ.ได้ออกบูธนิทรรศการและจัดเตรียมข้อมูลต่างๆ ที่เป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุน พบว่า ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนจีน โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมงานกว่า 400 คน
คณะของ กนอ. ยังเดินทางไปเยี่ยมชมเขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเมืองหม่าอันซาน (Ma’anshan Economic and Technological Development Zone) ณ เมืองหม่าอันซาน มณฑลอานฮุย ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2538 พื้นที่ 128 ตารางกิโลเมตร เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรม 176 แห่ง มี 3 อุตสาหกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ การผลิตวัสดุอุปกรณ์ระดับไฮเอนด์ อุตสาหกรรมอาหารสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานทางเลือก
ทั้งนี้ คณะได้เข้าเยี่ยมชมบริษัทชั้นนำที่มีความโดดเด่นด้านการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต 4 แห่ง ได้แก่
1.บริษัทผลิตภัณฑ์อาหารเสริมรูปแบบเยลลี Gummy ซึ่งใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยในระบบ Warehouse และ Logistics สามารถลดจำนวนแรงงานที่ใช้ได้
2.บริษัทวิจัยและพัฒนา ผลิตและจำหน่ายบล็อก/แผ่นคอนกรีตมวลเบา ซึ่งเป็นองค์กรสาธิตของมณฑลอานฮุยเพื่อการบูรณาการข้อมูลและอุตสาหกรรม ซึ่ง SCG เป็นลูกค้าของบริษัทด้วย
3.บริษัทผลิตรถหัวลากที่ใช้เทคโนโลยี New Energy Heavy Truck ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานในเมือง
และ 4.โรงงานผลิตและจำหน่าย Dairy products เป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดนอกเขตมองโกเลียใน และเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก ซึ่งมียอดจำหน่ายเป็นอันดับสองในประเทศจีน
นอกจากนี้ คณะ กนอ. มีโอกาสได้เข้าพบ นายซาง เชี่ยงเฉียน (Shan Xiangqian) รองผู้ว่าการมณฑลอานฮุย และ นายเกอ บิน (Ge Bin) นายกเทศมนตรีเมืองหม่าอันซาน และคณะ เพื่อหารือถึงแนวทางการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน และการจัดตั้งคณะทำงานร่วม 2 ประเทศ เพื่อสานต่อการดำเนินงานตาม MOU ระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กับกระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม และสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน ที่มีการลงนามในคราวการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา
สำหรับนักลงทุนชาวจีนที่ต้องการขยายการลงทุนมายังประเทศไทย โดยเฉพาะในนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้ความร่วมมือตาม MOU ระหว่างกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กับ กระทรวงอุตสาหกรรมแห่งราชอาณาจักรไทย ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมนั้น สามารถดำเนินงานร่วมกันได้ใน 3 ทางเลือก ดังนี้
ทางเลือกที่ 1 หาพื้นที่ลงทุนเอง โดยมีขั้นตอนการเตรียมการอย่างน้อย 2-3 ปี เพื่อหาพื้นที่และการจัดทำการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม
ทางเลือกที่ 2 ลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งแล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เช่น นิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง ที่ก่อสร้างไปแล้วกว่า 55% และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2567 หรือลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ว่างขายและให้เช่าอยู่แล้ว
และ ทางเลือกที่ 3 การลงทุนสร้างสมาร์ท ซิตี้ ร่วมกับเอกชนชาวไทย เพื่อเป็น R&D Center และ สร้าง Smart Community
กนอ.ยังศึกษาการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมของเทศบาลเมืองหม่าอันซาน เขตพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยีหม่าอันซาน (Ma’anshan Economic and Technological) ที่ทำได้อย่างดี และตรงกับเป้าหมายของ กนอ. ที่เรากำลังดำเนินการอยู่ คือ การส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) เมืองอัจฉริยะ (Smart City) และนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (Smart Industrial Estate) ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อนำองค์ความรู้ไปต่อยอดต่อไปในอนาคตครับ
ผมเชื่อมั่นว่า การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพออกไปลงทุนในต่างประเทศ และการดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศ จะช่วยขยายโอกาสทางธุรกิจ ต่อยอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี ตลอดจนได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างกัน เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพให้เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของไทยอย่างยั่งยืนครับ