นายพิเชฐ คุณาธรรมรักษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง (ขร.) เปิดเผยภายหลังการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเตรียมความพร้อมเพื่อเพิ่มศักยภาพการพัฒนาพื้นที่และเสริมสร้างโอกาสในการแข่งขันของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ในการรองรับและเชื่อมโยงเส้นทางระบบขนส่งทางรางสายใหม่ ว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของมีระยะทาง 323.10 กม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทำสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนได้มากกว่า 50% เพื่อส่งมอบพื้นที่ให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป
ขณะเดียวกันกรมฯได้มีการลงพื้นที่อุโมงค์แม่กา ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ที่เป็นอุโมงค์คู่ทางเดี่ยว มีความยาว 2,700 เมตร ปัจจุบันได้ขุดเจาะไปแล้วประมาณ 42-44 เมตร คาดว่าจะใช้เวลาขุดเจาะประมาณ 4 ปี แต่โครงการดังกล่าว จะมีอุโมงค์ที่ยาวที่สุด 6.2 กม. ที่อำเภองาว จังหวัดลำปาง
สำหรับโครงการรถไฟทางคู่สายใหม่ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ผ่านพื้นที่ 4 จังหวัดได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยาและเชียงราย ซึ่งอยู่ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 จำนวน 3 จังหวัด (ยกเว้นจังหวัดลำปาง) 17 อำเภอ 59 ตำบล มีสถานีและที่หยุดรถไฟรวม 26 แห่ง มีย่านกองเก็บและขนถ่ายตู้สินค้า (CY) จำนวน 4 แห่ง ที่สถานีแพร่ สถานีพะเยา สถานีป่าแดดและสถานีเชียงราย และมีลานกองเก็บตู้สินค้าคอนเทนเนอร์เชื่อมต่อกับศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของอีก 1 แห่ง
ทั้งนี้เส้นทางรถไฟสายใหม่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ เป็นเส้นทางรถไฟที่เชื่อมต่อกับแหล่งเกษตรกรรม รองรับการขนส่งสินค้าการเกษตรทางราง ปัจจุบันมีการขนส่งสินค้าทางรางประเภทควบคุมอุณหภูมิไปยัง สปป.ลาวและสาธารณรัฐประชาชนจีน นอกจากนี้ ยังสามารถพัฒนาเชื่อมต่อกับนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวสำหรับสินค้าเกษตรและอาหาร การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แม่เมาะได้อีกด้วย รวมทั้งมีการเชื่อมต่อกับแหล่งท่องเที่ยว และรองรับการเชื่อมต่อระบบรางกับประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
เมื่อโครงการฯ ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2571จะช่วยพลิกโฉมการเป็น Logistic Hub ของภูมิภาค เชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งสินค้าหลายรูปแบบ รวมทั้งเชื่อมต่อการขนส่งไทย-ลาว-จีน ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงตามระเบียงเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Cooridor :NSEC)
นอกจากนี้โครงการฯเปิดประตูการค้าชายแดนภาคเหนือ ช่วยให้เกิดการจ้างงาน สร้างโอกาสที่ดีต่อการค้าและการลงทุน ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวและช่วยการกระจายความเจริญให้กับคนในพื้นที่ ช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง มีความปลอดภัยในการเดินทางมากยิ่งขึ้น และเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ให้ดีขึ้นต่อไป