นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ถึงแผนการผลักดันการส่งออกในครึ่งปีหลังในส่วนของภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในตะวันออกกลาง หลังจากที่ กองทุนการเงินอาหรับ Arab Monetary Fund (AMF) ระบุว่า เศรษฐกิจตะวันออกกลางในปี 2565 ขยายตัว 5.4% จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการใช้จ่ายของรัฐบาลในการฟื้นฟู เศรษฐกิจหลังโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง
แต่อย่างไรก็ตาม ในปี2566 AMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของ ตะวันออกกลางจะขยายตัว 4% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกเติบโต ลดลง และยังคาดว่า อัตราเงินเฟ้อจะสูงถึง 7.1% เนื่องจากราคา อาหารและราคาพลังงานที่เพิ่มสูงขึ้น
ในขณะที่แอฟริกาซึ่งเผชิญกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย ความท้าทาย เช่น ภาวะเงินเฟ้อ ภาระหนี้สาธารณะ ภาวะขาดแคลนเงิน USD ความไม่มั่นคงทางการเมือง (ความไม่สงบในซูดาน สถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน) คอร์รัปชัน ความยากจน การขาดแคลนพลังงาน (ไฟฟา) และคาเงินอ่อนค่า
โดยยังมีปัจจัยสนับสนุน เช่น ทรัพยากรธรรมชาติจํานวนมาก และชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง ในปี2566 คาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ลดลง (+3%) ประเทศที่ เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตได้ดี เช่น เคนยา คองโก โกตดิวัวร์ รวันดา และเอธิโอเปีย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการท่องเที่ยวฟื้นตัว
สำหรับ โอกาสของไทย นั้น ในตลาดตะวันออกกลาง การจัดทําความตกลงเพื่อลดอุปสรรคทาง การค้าระหว่างไทยกับประเทศในตะวันออกกลาง เช่น FTA ไทย-ตุรกี และ CEPA ไทย-ยูเออี 2. นโยบายการค้าต่างๆ เช่น ยูเออี (มี DMCC ส่งเสริมสินค้าอัญมณีฯ วัสดุ ส่งเสริมการลงทุนด้านโลจิสติกส์และ นโยบายด้านอื่นๆ เช่น การท่องเที่ยวที่ส่งเสริม สินค่าและบริการไทย เช่น อาหาร / เครื่องมือแพทย์
ส่วนตลาดแอฟริกาถือว่าเป็นตลาดที่กําลังเติบโต อุดมไปด้วย ทรัพยากรทางธรรมชาติ มีชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น เร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จํานวนมาก เป็นโอกาสของสินค้าและบริการไทย การจัดทํา FTAs กับหลายประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน และ กับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ เช่น สหภาพ ยุโรป สหรัฐอเมริกา จีนจึงอาจใช้เปน เครื่องมือในการทําตลาดสินค้าไทยได้
สำหรับสินค้าเป้าหมายทั้งสองตลาด เช่น อาหารผลไม้ ข้าว อาหารแปรรูป/สำเร็จ อุตสาหหกรรม ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยาง วัสดุก่อสร้าง สินค้าแฟชั่น เช่นอัญมณีและเครื่องประดับ หรือธุรกิจบริการ เช่นร้านอาหาร ก่อสร้าง โลจิสติกส์
ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์มีแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังเพื่อผลักดันเป้าส่งออกใน2ตลาดนี้ ไมว่าจะเป็น การเชื่อมโยงผู้ส่งออก ผู้ซื้อและผู้นำเข้า ผ่านงานแสดงสินค้า เช่น Automechanika Dubai ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ หรือนำคณะผู้แทนการค้าร่วมงานแสดงสินค้า เช่นBGJF เดือนก.ย. หรืองานTilog ช่วงเดือนส.ค. นอกจากนี้ยังเร่งสร้างภาพลักษณ์ให้กับสินค้าไทย ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมการค้าร่วมกับซุเปอร์มาเก็ตต่างๆ การผลักดันธุรกิจบริการและSoft Power ของไทยให้มากขึ้น และเร่งรัดการเจรจาและลงนามข้อตกลงการCEPA ไทย-ยูเออี และเอฟทีเอไทย-ตุรกี
“เป้าทำงานในตลาดตะวันออกกลางคือ20% โดยตลาดเป้าหมายหลักในภูมิภาคนี้คือ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนตลาดเป้าหมายของตลาดแอฟริกาคือ เคนยาและแอฟริกาใต้ ซึ่งกระทรวงพาณิยช์มั่นใจว่ากิจกรรมที่เข้มข้นนี้จะผลักดันให้เป้าทำงานไปถึงจุดหมายได้”