นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาวัสดุก่อสร้างในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 ที่ชะลอตัวอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนจากดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเดือนมิถุนายน 2566 ที่ลดลง0.9% ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ส่งผลให้ครึ่งปีแรกของปี 2566 สูงขึ้นเพียง 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565
ส่วนดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ไตรมาสที่ 3 และช่วงที่เหลือของปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวตามการฟื้นตัวของอุปสงค์และการลงทุนในภาคการก่อสร้างในประเทศ ประกอบกับต้นทุนยังอยู่ระดับสูง อุปทานพลังงานและเหล็กโลกมีแนวโน้มตึงตัว
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ครึ่งปีแรกของปี 2566 ชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยสูงขึ้นเพียง0.4% จาก4.5% ในครึ่งหลังของปี 2565 เนื่องจากการลดลงของราคาเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักค่อนข้างมากถึง 29.66% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของน้ำหนักในตะกร้าดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างซึ่งปรับลดลงตามราคาพลังงานและวัตถุดิบโลก
ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันดิบ ยางมะตอย และแร่เหล็ก ตามความต้องการก่อสร้างในประเทศต่าง ๆ ที่ปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าปี 2565 และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังไม่ยุติ นอกจากนี้ สินค้าในหมวดซีเมนต์ และหมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต ซึ่งมีสัดส่วนน้ำหนักต่อดัชนีรวมกันใกล้เคียงกับสินค้าเหล็ก คือ27.90 %ชะลอตัวต่อเนื่องติดต่อกัน 4 เดือน ดังนั้น ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างของไทย ครึ่งปีแรกของปี 2566 จึงชะลอตัวอย่างชัดเจน
สำหรับแนวโน้มภาคการก่อสร้างโลก ปี 2566 ศูนย์วิจัย GlobalData ได้คาดการณ์ ณ พฤษภาคม 2566 พบว่า ภาคการก่อสร้างโลก ปี 2566 มีแนวโน้มชะลอตัว โดยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 0.8 % จาก2.1 %ในปี 2565 โดยภาคการก่อสร้างในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว จะติดลบ 1.5% เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ส่งผลต่อระดับราคาและกดดันบรรยากาศการค้าการลงทุน ได้แก่ ยุโรป รัสเซีย อเมริกาเหนือ และออสเตรเลีย ขณะที่ภาคการก่อสร้างในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จะขยายตัว2.4% ชะลอลงจากปี 2565 ที่ขยายตัว4.6 เนื่องจากการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังซบเซา
อย่างไรก็ตาม มาตรการส่งเสริมและโครงการก่อสร้างของภาครัฐในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมาย Inflation Reduction Act ที่ส่งเสริมการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และพลังงาน รวมทั้งมีมาตรการให้เงินอุดหนุนเพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตเซมิคอนดักเตอร์และอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เยอรมนี อินเดีย มีโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ด้านการคมนาคมขนส่งทางถนนและรถไฟ ญี่ปุ่น มีการก่อสร้างคลังสินค้าและสถานที่ให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ และโครงการวิศวกรรมโยธา และจีน มีการก่อสร้างเส้นทางคมนาคม พลังงานหมุนเวียน และนิคมอุตสาหกรรม และการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำที่เมืองฉงชิ่ง ทั้งหมดนี้มีส่วนขับเคลื่อนให้ภาคการก่อสร้างของประเทศมีโอกาสเติบโต ประกอบกับอุปทานพลังงานและเหล็กที่มีแนวโน้มตึงตัว ซึ่งอาจทำให้ราคาวัตถุดิบ และราคาวัสดุก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปีนี้มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้
ส่วนภาคการก่อสร้างของไทยยังมีโอกาสขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า ภาคการก่อสร้างของไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัว3.9 % เร่งขึ้นจาก2.6%ในไตรมาสก่อนหน้า และปี 2566 คาดว่าภาคการก่อสร้างของไทยจะเพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ที่คาดว่าจะสูงขึ้นระหว่าง 2.7 – 3.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนของภาครัฐ และเอกชนที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และเมื่อพิจารณาประกอบกับเครื่องชี้วัดภาคการก่อสร้างอื่น ๆ ซึ่งมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน ทั้งด้านอุปทาน อาทิ การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และด้านอุปสงค์ อาทิ การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ และการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดของชาวต่างชาติทั่วประเทศ นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยังอยู่ในช่วงความเชื่อมั่นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ - ปริมณฑลที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคการก่อสร้างของไทยยังคงเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าปี 2565 อาทิ ค่าขนส่ง ค่าแรง และค่ากระแสไฟฟ้า
“ด้วยปัจจัยดังกล่าวข้างต้น สนค. จึงคาดว่าภาคการก่อสร้างของไทยมีโอกาสที่จะขยายตัว และจะส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้าง ไตรมาสที่ 3 และช่วงที่เหลือของปี 2566 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยท้าทายที่อาจส่งผลต่อการเติบโตของภาคการก่อสร้างและกดดันให้ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างขยายตัวน้อยกว่าที่คาดหรืออาจปรับลดลงได้ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่กดดันความต้องการพลังงานและวัสดุก่อสร้าง ส่งผลให้ราคาพลังงาน วัตถุดิบ และราคาจำหน่ายวัสดุก่อสร้างลดต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารมีความเข้มงวดขึ้น และอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น จะส่งผลให้กำลังซื้อและการลงทุนของภาคประชาชนและธุรกิจลดลง ซึ่งจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป”