ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติพล สิงห์ทน หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ รักษาราชการแทนเลขานุการกรมสรรพากร เป็นตัวแทนรับมอบเอกสาร กรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้เดินทางมากรมสรรพากร เพื่อยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสรรพากร เรื่องขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีอากร การซื้อขายที่ดินระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กับผู้ขาย
โดยสิ่งที่ส่งมาด้วย ได้แก่ สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาคัดย่อการประชุม สำเนาการซื้อขายที่ดิน สำเนาใบเสร็จค่าภาษี สำเนาบันทึกการประชุม ตารางสรุปวันที่โอน ตารางเปรียบเทียบอัตราภาษี องค์ประกอบห้างหุ้นสามัญไม่จดทะเบียน แนววินิจฉัยกรมสรรพากร และความเกี่ยวข้องของนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย กับพฤติกรรมอำพราง
ทั้งนี้ นายกิตติพล กล่าวว่า กรมฯ ยินดีรับข้อมูลหลักฐานเอกสารเพื่อไปตรวจสอบข้อเท็จ โดยจะให้ความเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ซึ่งยังระบุไม่ได้ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไร เพราะต้องให้ฝ่ายเกี่ยวข้องตรวจดูข้อมูลเอกสารก่อน และหากมีความจำเป็นก็จะเรียกผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง ขอข้อมูลเพิ่มเติมได้
ด้านนายชูวิทย์ กล่าวว่า สาเหตุที่มียื่นหลักฐานกรมสรรพากร เนื่องจากพบความไม่ปกติในการซื้อที่ดินของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีนายเศรษฐา แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เป็นผู้บริหารอยู่ในขณะนั้น ด้วยการซื้อที่ดินแปลงหนึ่ง ซึ่งมีราคาซื้อสูงเกินกว่าราคาที่แท้จริง จนเกรงว่าจะมีเงินทอน เพราะราคาประเมินเพียงตารางวาละ 1 ล้านบาท แต่ซื้อขายเกินจริงเกือบ 4 ล้านบาท
ที่สำคัญยังมีการแยกโอนซื้อขายที่ดิน 12 ครั้ง 12 คน นัดโอนคนละวัน รวม 12 วัน เพื่อให้เข้าใจว่าผู้ขายทั้ง 12 ราย ต่างคนต่างขายที่ดินให้กับ บริษัท แสนสิริฯ จะได้หลีกเลี่ยงการขายที่ดินเป็นคณะบุคคลในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ซึ่งเลี่ยงภาษีได้กว่า 500 ล้านบาท
“รับประกันเลยว่านายเศรษฐา ตกสวรรค์แน่ และหากให้พูด คือนายเศรษฐา ครั้นเมื่อเป็นผู้บริหารบริษัท แสนสิริฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะมาทำแบบนี้และพูดว่าผมไม่รู้ มีหน้าที่เซ็นอย่างเดียว และหากวันหนึ่งได้ก้าวมาเป็นนายกฯ และพูดประโยคเดียวกันนี้ เช่น ผมไม่รู้ว่ามีการทุจริต ก็ลองถามประชาชนว่าจะรับได้หรือไม่”
นายชูวิทย์ กล่าวว่า ดังนั้นขอให้พรรคเพื่อไทย คิดให้ดีที่จะส่งนายเศรษฐา เป็นนายกฯ เพราะยังสามารถเลือกส่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร และนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นแคนดิเดตนายกฯ มาแทนได้ โดยการออกมาให้ข้อมูลครั้งนี้ เป็นแค่ยกแรก