ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่ากรณีที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วน แต่ต้องใช้เวลาเจรจาไม่น่าจะเกิน 2 ปีนั้น
ดร.สามารถ กล่าวต่อว่า จากการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 พรรคเพื่อไทยหาเสียงกับชาวกรุงเทพฯ โดยจะเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แต่ไม่บอกรายละเอียดว่านั่งรถไฟฟ้าได้สายเดียว หรือหลายสาย มีวิธีการทำอย่างไร คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเข้าใจกันว่าเมื่อพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลเสร็จแล้วคงจะได้นั่งรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในไม่นาน แต่ก็ต้องผิดหวังอย่างแรง เมื่อ รมว. คมนาคม เผยว่าต้องรออีก 2 ปี ทั้งที่บอกว่าเป็นนโยบายเร่งด่วน จะต้องทำให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ไม่ใช่ให้รอถึง 2 ปี
"รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทำได้จริงหรือไม่นั้น ผมขอตอบว่าทำได้จริง ถ้ารัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้เดินรถไฟฟ้า อันประกอบด้วยบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด ตามด้วยบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM และบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทยตามลำดับ ก่อนจะหาเสียงด้วยนโยบายนี้ หากมีการเตรียมข้อมูลดังต่อไปนี้ไว้ก่อน ก็จะสามารถทำให้นโยบายนี้เป็นจริงได้โดยเร็ว ไม่ใช่ให้รอถึง 2 ปี"
สำหรับรายได้จากค่าโดยสารของผู้เดินรถไฟฟ้าตามอัตราค่าโดยสารในปัจจุบัน พบว่ารายได้จากค่าโดยสารกรณีเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ซึ่งประกอบด้วยรายได้จากผู้โดยสารเดิม (รวมทั้งผู้โดยสารเดิมที่จะเดินทางเพิ่มขึ้น) และรายได้จากผู้โดยสารใหม่ (ผู้โดยสารที่ในปัจจุบันไม่ได้ใช้รถไฟฟ้า แต่เมื่อค่าโดยสารถูกลง เขาเหล่านี้จะหันมาใช้รถไฟฟ้า)
ขณะที่ผลต่างของรายได้ทั้ง 2 ข้อดังกล่าวข้างต้น คือรายได้ที่ผู้เดินรถไฟฟ้าได้รับน้อยลง คือเงินชดเชยที่รัฐบาลจะต้องจ่ายให้เขา ถ้าต้องการให้นโยบายนี้สำเร็จโดยด่วน กระทรวงคมนาคมสามารถหาข้อมูลดังกล่าวได้ทันที
" ผมมั่นใจว่าถ้ารัฐบาลจ่ายเงินชดเชยให้ผู้เดินรถไฟฟ้า รัฐบาลจะได้รับความร่วมมืออย่างดี ดังนั้น การบอกให้รอถึง 2 ปี จึงเป็นข้ออ้างที่ยากจะเชื่อ"
ดร.สามารถ กล่าวต่อว่า ความล้มเหลวในอดีตนั้นผมอยากให้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เกิดขึ้นได้จริง ไม่อยากให้ล้มเหลวเหมือนในอดีตที่รัฐบาลไม่สามารถทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าถูกลงได้ ดังนี้
1. ปี 2547 รัฐบาลในขณะนั้น อยากจะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าลดลงเหลือ 15 บาทตลอดสาย มีแนวคิดที่จะซื้อสัมปทานคืน ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก สุดท้ายก็ล้มเหลว
2.ปี 2554 ตอนหาเสียงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แต่พอได้เป็นรัฐบาลกลับไม่ทำ ในขณะนั้นผมเป็น ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งกระทู้สดถาม รมว. คมนาคม (ในขณะนั้น) ว่าทำไมไม่ทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าลดลงเหลือ 20 บาทตลอดสายตามที่ได้หาเสียงไว้ คำตอบที่ได้คือต้องรอให้ก่อสร้างรถไฟฟ้าครบ 10 สายก่อน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะก่อสร้างรถไฟฟ้าให้ครบ 10 สาย ภายในระยะเวลาของรัฐบาล คือ 4 ปี
ส่วนข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในเรื่องนี้มองว่า หากต้องการให้คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลสามารถใช้รถไฟฟ้าได้มากขึ้นให้คุ้มค่ากับเงินลงทุน และเพื่อช่วยให้ผู้โดยสารประหยัดค่าเดินทาง ควรให้รัฐบาลพิจารณาใช้นโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 50 บาท ทั้งวัน ทุกสาย ไม่อั้น นั่นหมายความว่า ผู้โดยสารจ่ายเพียง 50 บาท จะขึ้นลงรถไฟฟ้าสายไหน สีไหน กี่เที่ยวก็ได้ภายใน 1 วัน ถ้าใช้รถไฟฟ้า 2 เที่ยวต่อวัน ค่าโดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยว 25 บาท ถ้าใช้รถไฟฟ้า 4 เที่ยวต่อวัน ค่าโดยสารเฉลี่ยต่อเที่ยวเหลือเพียง 12.50 บาท เท่านั้น ผู้โดยสารรถไฟฟ้าสามารถเลือกซื้อตั๋วที่เหมาะสมกับตน หากเห็นว่าตั๋ว 50 บาท ทั้งวัน ถูกกว่าก็ซื้อตั๋วนี้ หากเห็นว่าตั๋วเที่ยวเดียวถูกกว่าก็ซื้อตั๋วเที่ยวเดียว
นอกจากนี้รัฐบาลจะต้องเจรจากับผู้เดินรถไฟฟ้าทุกรายให้ยอมรับอัตราค่าโดยสารนี้ โดยรัฐบาลจะชดเชยส่วนต่างรายได้จากค่าโดยสารให้ จากการประเมินพบว่ารัฐบาลจะต้องชดเชยส่วนต่างในปีแรกที่ใช้อัตราค่าโดยสารนี้ประมาณ 7,500 ล้านบาท เงินชดเชยนี้จะลดลงเมื่อมีผู้โดยสารใช้รถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
สำหรับนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้า 50 บาท ทั้งวัน ทุกสาย ไม่อั้น” จะช่วยประหยัดเวลาเดินทาง ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง และลดมลพิษโดยเฉพาะ PM 2.5 ซึ่งคิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่าเงินที่รัฐบาลจะต้องชดเชยให้ผู้เดินรถไฟฟ้าอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามถ้ารัฐบาลจริงจังกับการลดค่าโดยสารรถไฟฟ้า ไม่ใช้วาทศิลป์สนองตอบคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้กับพี่น้องประชาชน จะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้จริงในเวลาไม่นานนี้แน่นอน