นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุยให้แล้วเสร็จตลอดสายระยะทาง 50 กิโลเมตร งบประมาณรวม 700 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าประมาณร้อยละ 89.35 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เร่งผลักดันการดำเนินงานของโครงการ เพื่อเติมเต็มโครงข่ายทางหลวงให้สมบูรณ์ตลอดสายทาง
ทั้งนี้กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 ได้เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุย ซึ่งมีระยะทางทั้งหมด 50 กิโลเมตร โดยที่ผ่านมากรมทางหลวงได้ขยายเส้นทางแล้วเสร็จรวมระยะทาง 34.53 กิโลเมตร และเปิดให้บริการแก่ประชาชนไปแล้ว ยังคงเหลือ ตอน บ.หัวถนน - บ.เฉวง ซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย โดยตอนนี้มีจุดเริ่มต้นที่ กม.14+000 ท้องที่บ้านหัวถนน ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจุดสิ้นสุดที่ กม.29+531 ท้องที่บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทางยาวประมาณ 15.531 กิโลเมตร ลักษณะโครงการเดิมเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร
นายสราวุธ กล่าวต่อว่า กรมทางหลวงเล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของสายทาง จึงบูรณะก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้น 1 ขนาด 2 ช่องจราจร และบางช่วงเป็นขนาด 4 ช่องจราจร ไป - กลับ ผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร มีทางเท้ากว้างข้างละ 2.50 เมตร
สำหรับรูปแบบการก่อสร้างแบ่งตามลักษณะภูมิประเทศและความกว้างของเขตทางหลวงโดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ให้เหมาะสมกับเขตทางหลวง เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นภูมิประเทศสลับเนินเขา ย่านชุมชนที่อยู่อาศัยหนาแน่น พร้อมกับให้มีระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขัง รวมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและไฟสัญญาณจราจรบนทางหลวง
อย่างไรก็ตามทางหลวงสายดังกล่าว เดิมชื่อถนนทวีราษฎร์ภักดี เป็นถนนวงแหวนรอบตัวเกาะสมุย ผ่านย่านชุมชนต่าง ๆ อ้อมรอบเกาะแล้วกลับมาที่จุดเดิมบริเวณหน้าที่ว่าการอำเภอเมืองเกาะสมุย เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จจะช่วยเติมเต็มโครงข่ายทางหลวงสาย 4169 ให้สมบูรณ์ตลอดเส้นทาง ทำให้การคมนาคมขนส่งบนเกาะสมุยมีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของประชาชนในการแก้ปัญหาน้ำท่วมขังซ้ำซากได้ อีกทั้งยังรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มสูงขึ้น ยกระดับความปลอดภัยการคมนาคมขนส่ง ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวของจังหวัดสุราษฎร์ธานีและพื้นที่ภาคใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ