นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา หรือ ท๊อป ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด ผู้บุกเบิกธุรกิจบริการแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล กล่าวกับฐานเศรษฐกิจว่า Blockchain คือเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology: DLT) ระบบปฎิบัติการชนิดหนึ่งที่มีฐานข้อมูลกระจายตัว เปิดให้ผู้ใช้สามารถเข้ามาสร้างระบบ หรือ แอปฯ ที่รันบนระบบ Blockchain ได้อย่างเปิดกว้าง โดยมีการเข้ารหัสที่ปลอดภัยสำหรับทุกราย
“ถ้าจะให้เล่าง่าย ๆ Blockchain ก็เหมือนระบบปฎิบัติการสมาร์ทโฟนนั่นแหละ เช่น iOS และแอนดรอยด์ ที่เป็นระบบหลัก ส่วนแอปฯต่าง ๆ เกิดจากผู้พัฒนาแต่ละรายเข้าไปพัฒนาแอปฯ On Top บนระบบเหล่านั้น”
สำหรับระบบ Blockchain ในประเทศไทย ค่อนข้างก้าวหน้ากว่าหลาย ๆ ประเทศในโลกเรื่องการพัฒนากฎหมายที่รองรับเทคโนโลยี ทั้งการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีกฎหมายรองรับตั้งแต่ปี 2018 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีการก่อตั้งทีม Digital Currency ตั้งแต่ปี 2017 ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตก็จะมีการพัฒนาขึ้นไปอีกแน่นอน
อย่างไรก็ตาม Bitkub ในฐานะที่เป็น Blockchain Group ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีผู้ใช้บริการอยู่แล้วหลายล้านบัญชี จึงมีความเชี่ยวชาญด้านนี้เป็นพิเศษ โดยสำหรับระบบ Blockchain นั้น ยืนยันว่า สามารถรองรับการใช้จำนวนมากได้ แต่อาจติดปัญหาเรื่องของความสามารถในการรองรับทรัพยากรเพิ่มเติมหรือขยายขนาดตามเมื่อฐานผู้ใช้เริ่มเติบโต (Scalability) อาจทำได้ช้ากว่าระบบปิดทั่วไป เพราะมีหลาย Node ที่แชร์ข้อมูลกันอยู่
ดังนั้น สำหรับการสร้างระบบ Blockchain ขนาดใหญ่ เพื่อใช้งานกรณีพิเศษ อย่างเช่นการแจกเงินผ่าน Digital Wallet ให้กับคนไทย 50 ล้านคน คนละ 10,000 บาทนั้น ควรสร้างระบบเป็น 2 ชั้น (Two-Tier System) บนโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่รัฐเคยทำไว้แล้ว
ชั้นที่ 1 (Layer 1) ก็ใช้เป็นระบบ Blockchain เป็นระบบหลัก เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างแต่ละแอปพลิเคชันในระบบชั้นที่ 2 (Layer 2) ที่แต่ละแอปฯเป็นระบบปิด แบบนี้จะทำให้ต้นทุนการทำ และระยะเวลาในการสร้างนั้น ง่ายขึ้นมาก เพราะอีกหนึ่งความสามารถของ Blockchain คือการสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างหลายแอปฯ (Interoperability)
“ถ้าเรามองง่าย ๆ แต่ละระบบที่มีใช้งานอยู่ในปัจจุบัน การจะแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันทำยากพอสมควร เช่น การสะสมแต้มจากปั๊มน้ำมัน ไม่สามารถโอนถ่ายข้อมูลไปยังระบบของห้างสรรพสินค้าได้ ซึ่งถ้าจะทำ ก็มีค่าใช้จ่ายและการสร้างทางเชื่อมข้อมูลหลายขั้นตอน แต่ถ้ามี Blockchain ทุกเรื่องจะง่ายทันที และถ้าจะแจกเงินคนจำนวนมากด้วย Blockchain ล่ะก็ ไม่ยากเลย แค่ใช้เป็นตัวเชื่อมจากระบบเดิมที่มีอยู่ก็พอแล้ว”
ทั้งนี้ ระบบ Blockchain ของ Bitkub เป็นตลาดกว่า 90% ของตลาด Blockchain ทั้งประเทศ ดังนั้นจึงมองว่า การสร้าง Blockchain ขนาดใหญ่ขึ้นมาใหม่หนึ่งระบบภายในช่วงเวลาไม่กี่เดือนต่อจากนี้ เพื่อใช้งานในการแจกเงินดิจิทัลให้คนไทย 50 กว่าล้านคนนั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยทีมงานมืออาชีพและใช้งบประมาณหลายร้อยล้านบาท