ความท้าทายการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โจทย์ใหญ่คือการบริหารการเงินการคลังให้อยู่ภายใต้กรอบ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ.2561
นั่นเพราะนโยบายหลายอย่างของรัฐบาลที่จะถูกผลักดันออกมาในช่วง 4 ปี ต่างมีต้นทุนนั่นคือ “ภาระหนี้” โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วนทั้ง เติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท พักหนี้เกษตรกร-เอสเอ็มอี และขึ้นเงินเดือนข้าราชการจบใหม่ปริญญาตรี
การเตรียมความพร้อมด้านการเงินการคลัง ล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ฉบับทบทวน ครอบคลุมตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567- 2570 โดยมีวงเงินงบประมาณรายจ่ายรวม 14,602,000 ล้านบาท รายได้นำส่งคลังรวม 11,745,000 ล้านบาท
ทั้งนี้รัฐบาลยังคงจัดทำงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่อง โดยมีแผนกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุลรวม 2,857,000 ล้านบาท
ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่ รัฐบาลต้องการเงินกู้ช่วง 4 ปี (ปีงบประมาณ 2567-2570) วงเงินรวม 3.61 ล้านล้านบาทแบ่งเป็น การกู้เงินของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ 7.54 แสนล้านบาท และกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ 2.85 ล้านล้านบาท
หากนับเฉพาะแผนความต้องการเงินกู้ระยะปานกลาง โดยไม่นับรวมวงเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล พบว่าช่วง 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2567-2570 มีวงเงินรวม 754,004 ล้านบาท แบ่งเป็นปี 2567 กู้เงิน 261,757 ล้านบาท, ปี 2568 กู้เงิน 245,168 ล้านบาท, ปี 2569 กู้เงิน 160,892 ล้านบาท และ ปี 2570 กู้เงิน 86,187 ล้านบาท
ขณะที่หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่าปี 2566 จะมีหนี้สาธารณะคงค้าง 11,254,544 ล้านบาท คิดเป็น 62.97% ต่อจีดีพี โดยมีหนี้สาธารณะเฉลี่ยต่อคนที่ 170,377 บาท และเมื่อถึงปี 2570 จะมีหนี้สาธารณะคงค้าง 14,363,204 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,108,660 ล้านบาทจากปี 2566 โดยสัดส่วนหนี้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 64.81% ต่อจีดีพี และมีหนี้สาธารณะเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 217,437 บาท เพิ่มขึ้น 47,060 บาทจากปี 2566
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาภาระผูกพันจากการดำเนินโครงการนโยบายของรัฐบาลตามม. 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พบข้อมูลว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ 2565 มียอดคงค้าง 1,039,920 ล้านบาท (เป็นยอดคงค้างที่ถูกนับรวมในหนี้สาธารณะด้วย 206,048 ล้านบาท) คิดเป็น 33.55% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 อยู่ภายใต้สัดส่วนที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกำหนดไว้ที่ไม่เกิน 35% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565
ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ 2566 รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อชำระคืนม.28 จำนวน 104,472 ล้านบาท คิดเป็น 3.28% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ดังนั้นในปีงบ 2566 จะเหลือภาระผูกพันตามม.28 จำนวน 935,448 ล้านบาท
ดังนั้นถ้ากำหนดสัดส่วนภาระผูกพันตามม. 28 ไว้ที่ 35% จะมีเงินเหลือในปีงบ 2567 จำนวน 282,552 ล้านบาท หากจะนำมาใช้แจกเงินดิจิทัล 5.6 แสนล้านบาท ต้องขยายเพดานเป็น 45%
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า การประมาณการหนี้สาธารณะตามแผนการคลัง ระยะปานกลางนั้น สบน.พิจารณาจากตัวเลขประมาณการรายได้และรายจ่ายตามที่หน่วยงานให้มา ฉะนั้นคาดว่า หน่วยงานที่คำนวณเรื่องรายรับและรายจ่ายอาจจะคำนวณเรื่องนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลที่จะออกมาไว้ด้วยแล้ว
“สบน.ประมาณการหนี้สาธารณะตามตัวเลขภาพรวมรายรับและรายจ่าย ซึ่งกรณีที่รัฐบาลกู้ชดเชยขาดดุล ก็มีการรวมสัดส่วนหนี้สาธารณะไว้แล้ว ยกเว้นแต่กรณีที่รัฐบาลออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงินเพิ่มเติม จึงจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นจากประมาณการที่คาดไว้”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะนั้น ในหลักการสบน.พิจารณาจากรายได้และรายจ่ายของรัฐบาล การขาดดุลงบประมาณ รวมทั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยหลักการหากรัฐบาลออกมาตรการต่างๆโดยใช้นโยบายกึ่งการคลัง ม.28 ในส่วนนี้จะไม่ถูกบรรจุในหนี้สาธารณะ ซึ่งรัฐบาลรับภาระจะชดเชยค่าใช้จ่ายหรือการสูญเสียรายได้ในการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐนั้นให้ในอนาคต
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3924 วันที่ 21 – 23 กันยายน พ.ศ. 2566