นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาในงานเลี้ยงอาหารค่ำ (Gala Dinner) จัดโดย สภาธุรกิจสหรัฐฯ-อาเซียน (U.S.-ASEAN business Council: USABC) และ หอการค้าสหรัฐฯ (U.S. Chamber of Commerce: USCC) เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ ณ โรงแรม St. Regis นครนิวยอร์ก เพื่อเป็นเกียรติแก่นายกรัฐมนตรีและคณะ
โดยนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้สรุปสาระสำคัญของวาระโอกาสดังกล่าว ดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณสำหรับงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ ถือเป็นวาระสำคัญอันหนึ่งของการเยือนต่างประเทศครั้งแรกในครั้งนี้ การเข้าร่วมงานของแขกทุกคนในวันนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจ และความสำคัญที่ภาคเอกชนสหรัฐมีต่อประเทศไทย หวังว่างานในวันนี้จะเป็นพื้นฐาน (platform) ในการสร้างเครือข่ายและความร่วมมือใหม่ๆ ที่เชื่อมโยงประเทศและเศรษฐกิจของไทย-สหรัฐเข้าด้วยกัน โดยทั้งสองฝ่ายถือเป็นหุ้นส่วนธรรมชาติและมีผลประโยชน์ร่วมกัน (natural and mutually-beneficial partners) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านเศรษฐกิจ ที่ในปีนี้ฉลองครบรอบ 190 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหรัฐอเมริกา
การค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งแม้จะมีการแพร่ระบาดทั่วโลก ด้วยมูลค่ามากกว่า 65,000 ล้านดอลลาร์ในปีผ่านมา (2565) ทำให้สหรัฐอเมริกากลับมาเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของไทยเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี ตอกย้ำถึงความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นที่มีอยู่ระหว่างกันอย่างชัดเจน
ในขณะที่ การลงทุนไทย-สหรัฐ ต่างฝ่ายต่างมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ทั้งสองฝ่ายยังมีศักยภาพอีกมาก และจะเดินหน้าเพิ่มพูนศักยภาพและความสามารถทางการแข่งขัน และทวงคืนตำแหน่งการจุดหมายปลายทางการลงทุนชั้นนำ การเป็นกลไกการเติบโตในภูมิภาค และเป็นสถานที่ที่ผู้คนสามารถเพลิดเพลินกับคุณภาพการดำรงชีวิตอย่างเท่าเทียมกันอีกครั้ง
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงนโยบายสำคัญ และโอกาสมากมายสำหรับบริษัทสหรัฐ ได้แก่
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อลดข้อจำกัด และข้อห่วงกังวล เพื่ออำนวยความสะดวก และสร้างบรรยากาศที่น่าดึงดูดสำหรับการลงทุนต่างประเทศ
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีระบุว่า “ถึงเวลาแล้วที่ภาคเอกชนจะเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้มากขึ้น” และย้ำถึงความมุ่งมั่นในการทำให้สังคมไทยดีขึ้น รวมถึงชุมชนธุรกิจในประเทศไทยด้วย โดยประเทศไทยเปิดกว้าง และพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนที่เชื่อถือได้สำหรับห่วงโซ่อุปทานที่ปลอดภัย หลากหลาย และยืดหยุ่นของสหรัฐฯ และเชื่อมั่นถึงความไว้วางใจ และการสนับสนุนจากภาคเอกชนสหรัฐฯ ในฐานะตัวแทนสำคัญของการเปลี่ยนแปลง (key agents of change) เพื่อใช้ประโยชน์จากจุดแข็งร่วมกัน และขับเคลื่อนอนาคตไปสู่ศตวรรษที่ 2 ของการเป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนเชิงกลยุทธ์ที่ใกล้ชิดและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
“ถึงเวลาแล้วที่ภาคเอกชนจะเข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยให้มากขึ้น”
นอกจากนี้ ในทวิตเตอร์ (X) ส่วนตัวนายกรัฐมนตรี Srettha Thavisin ยังได้ระบุว่า "ในบรรดาแขกผู้มีเกียรติจากแวดวงธุรกิจในงานนี้ ผมได้เน้นย้ำว่า ถึงเวลาที่จะลงทุนในประเทศไทยให้มากขึ้นแล้ว ในฐานะรัฐบาลใหม่ที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนชาวไทย เราให้ความสำคัญสูงสุดกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยและทำให้ไทยกลายเป็นแหล่งลงทุนชั้นนำและกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภูมิภาค รัฐบาลได้เตรียมนโยบายหลายประการเพื่อเร่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงการปรับปรุงและยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจ การให้บริการรัฐดิจิทัล และกระบวนการและแพ็คเกจสำหรับนักลงทุนต่างชาติที่คล่องตัวและดึงดูดนักลงทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้นครับ"
นายกฯ ยังกล่าวด้วยว่า ได้เน้นย้ำตลอดการประชุม UNGA78 ว่า เศรษฐกิจไทยต้องเติบโตควบคู่ไปกับความยั่งยืน ซึ่งรัฐบาลมุ่งมั่นเต็มที่ที่จะส่งเสริมการเติบโต โดยเร่งดำเนินการตามวาระเศรษฐกิจสีเขียวและการใช้พลังงานสะอาด รวมทั้งบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือ 0 ภายในปี 2608
"ในฐานะอดีตนักธุรกิจ ผมเชื่อมั่นเต็มที่ว่านโยบายทางเศรษฐกิจที่มีเป้าหมายชัดเจนของเรา จะขับเคลื่อนการเติบโตและช่วยขยายโอกาสให้แก่ธุรกิจทั้งในประเทศไทย อาเซียน และทั่วโลกครับ" นายกฯเศรษฐา กล่าว