3 นักวิเคราะห์ชี้เศรษฐกิจไทยโตช้า แนะทางก้าวข้ามความเสี่ยง

04 ต.ค. 2566 | 10:37 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ต.ค. 2566 | 10:37 น.

3 นักวิเคราะห์ชี้เศรษฐกิจไทยโตช้า “สันติธาร” แนะชวนต่างชาติลงทุน-แก้ไขกฎกติกา ลดความเสี่ยงเศรษฐกิจ ฝั่ง “TDRI” ห่วงชะลอจ่ายเงินเด็กแรกเกิด กระทบแรงงานอนาคต ด้าน “ธนาคารโลก” แนะวางตำแหน่งเชื่อมจีน-สหรัฐ ดันการค้าเสรี

นายสันติธาร เสถียรไทย อดีตที่ปรึกษาอาวุโส Global Counsel และอดีตกรรมการผู้จัดการ Sea Ltd. กล่าวในหัวข้อ “The Risk and Opportunity โอกาส ก้าวข้ามความเสี่ยงเศรษฐกิจไทย 2024” ในงาน “Thailand Economic Outlook 2024 Change the Future Today” จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” ว่า เศรษฐกิจประเทศไทยเป็นเหมือนนักกีฬาสูงวัยที่ป่วยไม่แข็งแรง โดยเศรษฐกิจไทยถูกมองว่าอยู่ในระดับกลางๆ ของอาเซียนโดยความน่าสนใจในเรื่องการเข้ามาลงทุนน้อยกว่าสิงคโปร์ เวียดนาม อินโดนิเซีย และมาเลเซีย

“หากเปรียบเทียบเศรษฐกิจของไทยในวันนี้เหมือนกับนักกีฬาสูงวัยที่มีอาการป่วย จะเห็นว่าเศรษฐกิจของไทยนั้นขยายตัวได้ประมาณ 3% และในปีนี้เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวได้ต่ำกว่า 3% นอกจากนั้นในช่วงที่การฟื้นตัวจากโควิด-19 สิ่งที่เห็นคือหลายประเทศมีช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตสูงไประดับ 7 – 8% แต่เศรษฐกิจไทยกลับเติบโตแค่ระดับ 1-2% เท่านั้น สะท้อนศักยภาพของเศรษฐกิจที่ลดลงชัดเจน”

3 นักวิเคราะห์ชี้เศรษฐกิจไทยโตช้า แนะทางก้าวข้ามความเสี่ยง

นายสันติธาร กล่าวว่า ความเสี่ยงของประเทศไทย หากเปรียบเทียบเป็นนักกีฬาที่ถูกลืมจากเวทีโลก ทำอย่างไรให้นักกีฬาสูงวัยจะสามารถกลับมาเป็นผู้เล่นตัวจริงได้ ซึ่งมีอย่างน้อย 4 ข้อที่ทำได้ เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถแข่งขันต่อไปได้ ดังนี้

1.การออกไปหาตลาดและเชิญชวนการลงทุนจากภายนอกประเทศ ซึ่งเรื่องนี้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำลังทำอยู่ เพราะเรื่องนี้เปรียบไปแล้วก็เหมือนนักกีฬาสูงวันที่ แมวมองจะไม่มาหาเรา เราต้องไปหาแมวมองเองแล้วบอกว่าประเทศไทยเหมาะที่จะลงทุนอย่างไร ไปเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่เพื่อให้เข้ามาลงทุนในไทย

2. การผ่าตัดเพื่อซ่อมแซม เพื่อให้สามารถแข่งขันและเติบโตต่อไปได้ เหมือนกับนักกีฬาที่มีอาการบาดเจ็บเรื้อรัง การผ่าตัดของเราคือการผ่าตัดกฎกติกาที่เป็นอุสรรคต่อการทำธุรกิจ (regulatory guillotine) ซึ่งทำให้ต้นทุนของธุรกิจลดลง และอุปสรรคในการทำธุรกิจลดลงด้วยซึ่งจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ

3.ประเทศไทยต้องเป็นนักกีฬาที่เล่นให้ฉลาดมากขึ้น หมายความว่าเล่นบทบาทที่ชาญฉลาดมากขึ้นในตลาดโลก รวมทั้งต้องพัฒนาแรงงานในประเทศที่มีทักษะมากขึ้น โดยเฉพาะทักษะเรื่อง AI Transformation ปรับทักษะ (Re skills) โดยในเรื่องนี้ถือว่าเป็นการสร้างโอกาสให้ประเทศไทยเป็นที่สนใจในการดึงการลงทุนจากบริษัทระดับโลก

4.การใช้ยากระตุ้น ซึ่งนักกีฬาสูงวัยบางครั้งก็ต้องใช้บ้าง ซึ่งเรื่องเศรษฐกิจ การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นบางทีก็ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะกระสุนทางการคลังมีน้อยลง ต้องใช้อย่างระวัดระวังและต้องทำด้วยความโปร่งใส และการกระตุ้นเศรษฐกิจต้องช่วยให้เกิดการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาวได้ด้วย

นายนณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันการวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเหมือนกับรถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วแตกต่างกัน และภายหลังวิกฤตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 1997 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มการเติบโตลดลง ซึ่งความท้าทายของเศรษฐกิจไทยหลังโควิด เทียบกับเส้นชัย สถานะประเทศรายได้สูง เราเดินไปได้แค่ 54.8% และที่ผ่านมา เฉลี่ย 10 ปี เติบโตที่ 3% ต่อปี ทำให้ต้องใช้เวลา 20 ปี ในการวิ่งไปถึงเส้นชัย ซึ่งปัจจุบันเส้นชัยถูกปรับเพิ่มขึ้นอีกด้วย ทำให้ต้องใช้เวลาถึง 25 ปี ที่จะถึงเส้นชัย

“สาเหตุที่เศรษฐกิจหลังโควิดยังไม่เติบโตมากนัก เนื่องจากยังมีบาดแผลทั้งจากสถานการณ์หนี้ครัวเรือน หนี้ธุรกิจ และหนี้ภาครัฐ”

ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจไทยจะต้องก้าวข้ามความเสี่ยงจะต้องเดินหน้าควบคู่ไปกับทั้งรูปแบบเดิม และปรับรูปแบบใหม่ เช่น การส่งออกจะต้องหาการตลาดเพิ่ม ขณะที่การท่องเที่ยวจะต้องเสริมสร้างให้เข้มแข็ง หากจะเน้นปบริมาณก็ต้องดูแลสภาพแวดล้อม รวมทั้งจะต้องมีการอัพสกีลต่างๆ สำหรับแรงงาน

นอกจากนี้ ขอเพิ่มเติมข้อกังวลเกี่ยวกับการชะลอจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เพราะก่อนที่จะเข้าไปถึงแรงงานต้องมีเด็กที่เข้าถึงการศึกษา และสังคมผู้สูงอายุ โดยคนไทยเผชิญสภาวะแก่ก่อนรวย และยังรวยก่อนตาย ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนในการดูแลผู้สูงอายุ รวมทั้งนโยบายในการดูแลประชาชน ซึ่งในส่วนของเด็กแรกเกิดนั้น อยากให้รัฐบาลดูแลทุกกลุ่ม ส่วนการช่วยเหลือคนจนควรให้การช่วยเหลือเฉพาะเจาะจง เพื่อดูแลประชาชนได้ตรงเป้าหมาย

“เราเห็นรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เหมือนกับจะอ่านเศรษฐกิจต่างกัน จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ 5.6 แสนล้านบาท จะสร้างตุ้นทุนทางการคลัง รวมทั้งการพักหนี้เกษตรกรซึ่งเข้าใจว่าในช่วงที่หนี้เยอะควรมีการลดภาระ แต่ผ่านไประยะหนึ่งแล้วควรมีการปรับโครงสร้างให้เกษตรกรสามารถเข้มแข็ง ซึ่งในฐานะนักเศรษฐศาสตร์อยากให้รัฐบาลมีการหารือกับนักเศรษฐศาสตร์เพราะจากการติดตามข่าวก็มีหลายเรื่องที่ตกใจ และไม่อยากให้เศรษฐกิจชะงัก”

นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกจะมี 3 เทรนด์ใหญ่ที่เป็นความท้าทาย เรื่องแรกคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ต่อมาคือความตึงเครียดระหว่างภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society)

อย่างไรก็ตาม จากประเด็นดังกล่าวมองว่าเป็นได้ทั้งความเสี่ยงและโอกาส ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นกับทุกคน แต่อยู่ที่ว่าจะมีการรับมือและปรับตัวอยู่กับมันได้มากเพียงใด แต่ ไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่สามารถต่อยอดเพื่อรับมือได้ รวมทั้งข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์

“หากประเมินภาพเศรษฐกิจมหภาคของไทยยังค่อยข้างดี ประเทศไทยไม่ใช่นักวิ่งที่ป่วย แต่เราเคยบาดเจ็บและมีความกลัว ทั้งที่จริงเราวิ่งได้เร็วกว่านี้ หลายอย่างเป็นข้อจำกัดที่เราสร้างขึ้นเอง ที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการกำหนดนโยบายใหม่ โดยเฉพาะภาคการค้าและการบริการที่ควรต้องเร่งวางตำแหน่งของประเทศไทยในการเชื่อมโยงระหว่างจีนและสหรัฐ รวมทั้งการผลักดันการเปิดเจตการค้าเสรี  FTA ที่เน้นเรื่องมาตรฐาน”