แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครั้งล่าสุด ได้รับทราบผลการใช้เงินตาม พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ตามที่ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
ทั้งนี้มีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับผลการใช้จ่ายเงินกู้ โดย เลขาฯ สศช. ระบุว่า ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฉบับนี้ ได้มีการนำส่งเงินกู้เหลือจ่ายโครงการภายใต้พ.ร.ก.กู้เงินฯ พ.ศ. 2563 คืนคลังเป็นรายได้แผ่นดิน มีรายละเอียด ดังนี้
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 สบน. ได้นำส่งเงินกู้คงเหลือในบัญชีเงินกู้ฯ คืนคลังเป็นรายได้แผ่นดินและได้ประสานไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อขอความอนุเคราะห์ปิดบัญชีเงินกู้ฯ แล้ว
ขณะเดียวกันครม.ยังรับทราบการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตาม พ.ร.ก.กู้เงินฯ กรณีโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ปี 2564 ของกระทรวงมาหดไทย
โดยยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน 2 จังหวัด (จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดสุพรรณบุรี) รวม 3 โครงการ กรอบวงเงิน 7.96 ล้านบาท เนื่องจากไม่สามารถลงนามและผูกพันสัญญาได้ทันภายในเดือนพฤษภาคม 2565 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565
ส่วนการดำเนินโครงการต่าง ๆ ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท
ล่าสุดได้อนุมัติให้จังหวัดเปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ กรณีโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งฯ ของ กระทรวงมหาดไทย 14 จังหวัด (จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดกระบี่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชลบุรี จังหวัดระนอง จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดยะลา จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดเลย) รวม 29 โครงการ กรอบวงเงินรวม 88.28 ล้านบาท มีรายละเอียด ดังนี้
1.ยกเลิกการดำเนินโครงการ จำนวน 13 จังหวัด (จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ จังหวัดกระบี่ จังหวัดจันทบุรี จังหวัดชลบุรี จังหวัดระนอง จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดปราจีนบุรี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดเลย) รวม 25 โครงการ กรอบวงเงิน 65.37 ล้านบาท
ทั้งนี้เนื่องจากไม่สามารถจัดหาผู้รับจ้างและลงนามผูกพันสัญญาได้ทันภายในเดือนพฤศจิกายน 2565 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565 รวมถึงไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันตามกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรี
2. ขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการเป็นสิ้นสุดเดือนตุลาคม 2566 จำนวน 1 จังหวัด (จังหวัดยะลา) รวม 3 โครงการ กรอบวงเงิน 20.48 ล้านบาท เนื่องจากดำเนินการแล้วเสร็จและอยู่ระหว่างเบิกจ่ายเงินตามขั้นตอน
3. เปลี่ยนแปลงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ จำนวน 1 จังหวัด (จังหวัดหนองบัวลำภู) รวม 1 โครงการ (โครงการปรับปรุงแหล่งน้ำเดิม) กรอบวงเงิน 2.42 ล้านบาท โดยปรับลดปริมาณงานจากเดิม 3 งวดงาน เป็น 1 งวดงาน ส่งผลให้วงเงินโครงการก่อหนี้ผูกพันจากเดิม 1.3667 ล้านบาท เป็น 0.4099 ล้านบาท
เนื่องจากที่ผ่านมาพื้นที่ดำเนินงานประสบปัญหาน้ำท่วมทำให้การดำเนินงานล่าช้าและขยายระยะเวลาสิ้นสุดการดำเนินโครงการฯ จากเดือนพฤษภาคม 2566 เป็นเดือนตุลาคม 2566 ทั้งนี้ ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการเร่งปรับปรุงรายละเอียดของโครงการในระบบ eMENSCR ให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว
อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังเสนอว่าให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 และอยู่ระหว่างดำเนินการเร่งรัดการดำเนินงานและต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี
โดยในกรณีที่หน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ให้แล้วเสร็จภายในกรอบระยะเวลาที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้ ให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการต่อไปให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี โดยใช้จ่ายจากแหล่งเงินอื่นต่อไป