นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเปิด งานสัมมนาโครงการ "Thailand Landbridge Roadshow" วานนี้ (13 พ.ย. ตามเวลาท้องถิ่นนครซานฟรานซิสโกซึ่งช้ากว่ากรุงเทพฯ 15 ชั่วโมง) ณ ห้อง The Director ชั้น 3 โรงแรม Ritz-Carlton ซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน และการเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ประเทศไทยจึงได้พัฒนา โครงการแลนด์บริดจ์ (Landbridge) เพื่อให้เป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการผลิตและการขนส่ง โครงการดังกล่าวจะเป็นเส้นทางเพิ่มเติมที่สำคัญ เพื่อรองรับการคมนาคมขนส่ง และเป็นทางเลือกในการแก้ไขปัญหาช่องแคบมะละกา ที่ถูกกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า
งานสัมมนาในครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ประเทศไทยเปิดตัวสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคมขนส่ง ทั้งยังเป็นโอกาสการลงทุนที่ดีสำหรับภาคเอกชนอีกด้วย โดยทั่วโลกมีมูลค่าการค้ารวมกว่า 38 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เอเชียเป็นภูมิภาคที่มีมูลค่าการส่งออกและนำเข้าสูงสุดที่ประมาณ 40% รองลงมาคือยุโรปที่ประมาณ 38% ซึ่งสำหรับการค้าทางทะเลระหว่างเอเชียและยุโรป เรือขนส่ง (container ship) ทุกลำจะต้องผ่านช่องแคบมะละกา
ช่องแคบมะละกาถือเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าหลักในระดับภูมิภาคสำหรับประเทศที่มีพรมแดนติดกับมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย หนึ่งในสี่ของการค้าโลก และน้ำมันมากกว่า 70% ที่ส่งออกจากภูมิภาคตะวันออกกลางก็ขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ทำให้กลายเป็นคอขวดที่มีการขนส่งคับคั่งที่สุดในโลก
โดยในแต่ละปีมีเรือประมาณ 90,000 ลำ ผ่านช่องแคบมะละกา และเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 2.35 % ทุกปี ซึ่งปริมาณดังกล่าวคาดว่าจะเกินความจุของช่องแคบมะละกาภายในปี 2573 หากช่องแคบมะละกามีความแออัดมากขึ้น อาจส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก
ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ ช่องแคบมะละกาเป็นช่องแคบที่ยาวและแคบ โดยเฉพาะในช่องฟิลลิป (the Philips Channel) ที่อยู่ตรงช่องแคบสิงคโปร์ (the Singapore Strait) ซึ่งมีความกว้างเพียง 2.8 กิโลเมตร เรือจึงต้องเข้าคิวและเคลื่อนตัวช้าๆ ในแต่ละปีมีอุบัติเหตุทางทะเลมากกว่า 60 ครั้งต่อปีเกี่ยวข้องกับเรือหลากหลายประเภท ตั้งแต่เรือท้องถิ่นไปจนถึงเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ แต่ส่วนใหญ่เป็นเรือบรรทุกสินค้าทั่วไปที่เสี่ยงต่อการการปล้นเรือ และสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ จึงคาดว่าการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบมะละกา จะประสบปัญหามากขึ้นในอนาคต รวมถึงเวลาการขนส่งและต้นทุนที่มากขึ้น เนื่องจากเรือต้องรอหลายวันก่อนที่จะถึงสิงคโปร์ และทำให้ต้องเสียค่าเสียโอกาส และต้นทุนที่สำคัญ เนื่องจากการเน่าเสียของสินค้าในระหว่างความล่าช้า
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ด้วยที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ใจกลางคาบสมุทรอินโดจีน และการเชื่อมโยงระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย ประเทศไทยจึงได้พัฒนาและกลายมาเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการผลิตและการขนส่ง โครงการแลนด์บริดจ์จะเป็นเส้นทางเพิ่มเติมที่สำคัญ เพื่อรองรับการคมนาคมขนส่ง และเป็นทางเลือกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาช่องแคบมะละกา ที่ถูกกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า
ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนและเวลาสำหรับการขนส่งผ่านแลนด์บริดจ์กับช่องแคบมะละกาแล้ว กลุ่มเป้าหมายที่เป็นไปได้ของแลนด์บริดจ์ คือเรือตู้สินค้า (feeder vessels) สินค้าจากประเทศจีนและประเทศในยุโรปโดยเรือแม่ (Mainline vessel) จะได้รับการส่งต่อโดยเรือตู้สินค้าในพื้นที่นี้ ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และดำเนินการได้เวลา 5 วัน สินค้าจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปยังเอเชียกลาง และตะวันออกกลางโดยใช้เรือตู้สินค้า ข้ามระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกสามารถประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 4% และประหยัดเวลาได้ 3 วัน และผลิตภัณฑ์จากประเทศไทย ลาว กัมพูชา และจีนตอนใต้ ไปจนถึง BIMSTEC และประเทศในทวีปยุโรป สามารถกระจายได้โดยใช้เรือตู้สินค้าที่แลนด์บริดจ์ไปยังภูมิภาคต่างๆ ได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากถึง 35% และประหยัดเวลาได้ 14 วัน
โดยสรุป การขนส่งสินค้าผ่านแลนด์บริดจ์ของไทย จะช่วยลดเวลาการเดินทางได้ 4 วัน และลดต้นทุนโดยเฉลี่ยได้ 15%
ปริมาณสินค้าทั้งหมดที่ท่าเรือฝั่งตะวันตกจะอยู่ที่ 19.4 ล้าน TEUs และท่าเรือฝั่งตะวันออกนั้นจะอยู่ที่ 13.8 ล้าน TEUs คิดเป็นประมาณ 23% ของการขนส่งสินค้าทั้งหมดของท่าเรือมะละกา ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและการพาณิชย์ และในฐานะจุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างตะวันออกและตะวันตก ภูมิภาคนี้จะมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญเช่นกัน
สำหรับน้ำมันดิบ ปริมาณที่ผลิตได้จากตะวันออกกลางเพื่อการขนส่งอยู่ที่ประมาณ 19 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมี 56% หรือประมาณ 10.7 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ผ่านช่องแคบมะละกา และ 44% ไปยังเอเชียตะวันออกไกล (Asian Far East) และที่เหลือ 7% ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการแลนด์บริดจ์จึงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษสำหรับ 7% นี้ เนื่องจากจะช่วยประหยัดต้นทุนได้อย่างน้อย 6%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาแลนด์บริดจ์ในภาคบริการ ผ่านโลจิสติกส์ อสังหาริมทรัพย์ และการธนาคาร ในภาคการผลิตขั้นปฐมภูมิ (Primary Sector) ผ่านผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้น และในภาคอุตสาหกรรม ผ่านทางอุตสาหกรรมใหม่ (New S-curves) และการผลิต
โครงการแลนด์บริดจ์จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม สร้างงาน 280,000 ตำแหน่ง และคาดว่า GDP ของไทยจะเติบโต 5.5% ต่อปี หรือเทียบเท่ากับ 670,000 ล้านดอลลาร์เมื่อดำเนินโครงการอย่างเต็มรูปแบบ
นายกฯ เชื่อมั่นว่า โครงการแลนด์บริดจ์นี้ เป็นโอกาสที่ไม่เคยมีมาก่อนในการลงทุนในโครงการสำคัญเชิงพาณิชย์และเชิงกลยุทธ์ ที่เชื่อมโยงมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย โดยเชื่อมโยงผู้คนในภาคตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกัน โดยนายกฯ ได้กล่าวเชิญชวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมทุกคนให้สำรวจโอกาสในการเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในโครงการประวัติศาสตร์นี้ และได้รับประโยชน์ร่วมกัน
ในส่วนของปฏิกริยาตอบรับจากนักลงทุนที่เข้าร่วมสัมมนานั้น นายกฯโพสต์บนเอ็กซ์ (X) วันนี้ (14 พ.ย.) ว่า รัฐบาลตั้งใจจัดสัมมนาโครงการแลนด์บริดจ์ระหว่างการเข้าร่วมประชุมเอเปคครั้งนี้ เพื่อดึงดูดนักลงทุนสหรัฐจากบริษัทต่าง ๆ ตั้งแต่ SSA Marine, Oracle, Jacob, AWS, eBay, Port of Long Beach, และ Webtec ซึ่งให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากโครงการนี้จะกลายเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งทางเรือเส้นใหม่ของโลก และยังเป็นทางเลือกที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจรผ่านช่องแคบมะละกาที่ถูกกว่า เร็วกว่า และปลอดภัยกว่า การขนส่งสินค้าผ่านแลนด์บริดจ์จะช่วยลดเวลาการเดินทางโดยรวมได้ 4 วัน และลดต้นทุนโดยเฉลี่ยได้ถึง 15% ซึ่งในอนาคตจะยกระดับให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับการผลิตและการขนส่งสู่ตลาดโลกด้วย