นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษผ่านรายการ “Nation Insight ” โดยเริ่มต้นจากการเดินทางเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 30 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ว่า เรื่องสำคัญที่สุดของการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ มี 2 เรื่องใหญ่
เรื่องแรก คือ การสานความสัมพันธ์กับต่างประเทศ เพราะการประชุมรอบนี้มีประเทศเข้าร่วมหารือกันหว่า 21 ประเทศที่เป็นชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทั้ง ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน และ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ถือว่าเป็นการเดินทางไปเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างผู้นำของทุกประเทศ ถือเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะต้องเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม โดยการเดินทางไปครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเดินทางไปสานความสัมพันธ์ต่อจากรัฐบาลที่แล้ว พร้อมทั้งนำเสนอเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจสำคัญ BCG โมเดล โดยรัฐบาลยืนยันเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนอย่างชัดเจน
เรื่องที่สอง คือ การเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ โดยมีการเจรจาการค้ากับผู้นำประเทศเศรษฐกิจหลัก และภาคธุรกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ของโลก เช่น AWS Microsoft และ Google รวมทั้งบริษัทที่เริ่มต้นการเจรจาก็อีกหลายบริษัท เช่นเดียวกับหาช่องทางการเข้าไปสานสัมพันธ์กับบริษัทรายใหญ่ โดยยอมรับว่าตั้งแต่รัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานผ่านไป 2 เดือนกว่า ก็ได้เดินทางไปต่างประเทศต่อเนื่อง ซึ่งนักธุรกิจทั่วโลกก็ได้รับรู้ว่าประเทศไทยเปิดต้อนรับนักธุรกิจแล้ว และยืนยันว่า ไม่มีเวลาไหนที่เหมาะสมจะเข้ามาลงทุนดีกว่าช่วงเวลานี้แล้ว
นายเศรษฐา ยอมรับว่า การเปรียบเทียบการทำงานกับรัฐบาลก่อนหน้านี้คงจะไปเปรียบเทียบไม่ได้ เพราะไม่ทราบว่าสถานการณ์เดิมที่รัฐบาลเดิมไปเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เห็นสายตาของต่างชาติที่เป็นมิตร และพร้อมที่จะลงทุน รวมทั้งสานสัมพันธ์ด้านการต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีความตึงเครียดระหว่างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายประเทศ ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ปัจจุบันนี้
“ผมได้เข้ามาสานต่อเจตนารมณ์ และทำให้เห็นจุดยืนของประเทศไทยมีความเป็นกลาง เราเป็นประเทศไม่ใหญ่ แต่มีความภาคภูมิใจในความเป็นประเทศไทย เข้าใจจุดแข็งของประเทศไทย โดยที่ผ่านมาได้เจอกับประธานาธิบดีโจ ไบเดน มาก่อนหน้านี้แล้วในช่วงการประชุมยูเอ็นจีเอ เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา รวมทั้งเจอประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เพื่อทำทวิภาคีแล้ว โดยการเดินทางไปครั้งนี้เราไม่ได้เป็นคู่แข่ง แต่เราทำตัวพอประมาณของเรา เพราะเราก็เป็นคู่ค้าของเขา อย่างนี้เขาก็สบายใจ โดยที่ไม่มีความรู้สึกว่าเราไปท้าทายตำแหน่งของเขา ทำให้เขาสบายใจที่จะคุยกับเรา และบรรยากาศต่าง ๆ ก็ดูเป็นมิตรอย่างยิ่ง”
ทั้งนี้ส่วนของจุดยืนของไทยเองนั้น ในสายตาของผู้นำต่างชาติก็รับทราบอยู่แล้ว โดยประเทศไทยเองตั้งแต่รัฐบาลก่อนมาก็ยืนยันชัดเจนว่า เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง และมีความเชื่อในผู้บริสุทธิ์ต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสม และไม่ถูกรังแก หรือถูกคุกคาม ส่วนความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกับภาคธุรกิจนั้น ที่ผ่านมีการลงนามเอ็มโอยูไปหลายฉบับจะเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่ นั้น ยอมรับว่า ความร่วมมือด้านต่าง ๆ ยังมีรายละเอียดอื่นที่ต้องสานต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีมูลค่าบริษัทเป็นหลักล้านล้านบาท เมื่อถึงเวลาที่จะลงนามอะไรไป ส่วนตัวเชื่อว่าเขาต้องตั้งใจจริงที่จะร่วมมือในด้านการลงทุน
นายกฯ ยอมรับว่า หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ โดยเฉพาะในรายของ Tesla ซึ่งเป็นบริษัทยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา พร้อมเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเป็นเงินลงทุนมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยผู้บริหารอันดับที่ 2 ที่ดูแลเรื่องการลงทุนของ Tesla จะเข้ามาดูทำเลที่ตั้งของโรงงาน และพร้อมเข้ามาลงทุนอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าประมาณ 3 ประเภทด้วยกัน ที่สำคัญรัฐบาลไม่อยากให้การเข้ามาลงทุนในไทยนั้นก็ไม่ได้ต้องการแค่คุยด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการให้นักธุรกิจเห็นถึงประเพณีและวัฒนธรรมของไทยควบคู่ไปด้วย โดยจะเชิญให้เขาไปดูเทศกาลงานประเพณีเดือนยี่เป็ง ที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วย เพื่อให้เขาเข้าใจเรื่องของวัฒนธรรมของไทย
“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ แต่เป็นส่วนเสริมที่สำคัญ เพราะไม่ใช่มาตรการทางภาษี หรือว่าพลังงานสะอาด การบริหารจัดการน้ำ หรือนิคมอุตสาหกรรม แต่เป็นเรื่องของคนของเขาเมื่อจะมาอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลสุขภาพ โรงเรียนนานาชาติ วัฒนธรรมประเพณี ซึ่งเขาต้องซึมซาบและต้องมาใช้ชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ โดยประเทศไทยถือเป็นหมุดหมายสำคัญของบริษัท และเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในด้านนี้ด้วย”
สำหรับยุทธศาสตร์ของรัฐบาลนั้น ได้ตั้งเป้าหมายสำคัญในการส่งเสริมอุตสาหกรรมสำคัญ ทั้ง ยานยนต์ไฟฟ้า ดิจิทัล และเอไอ ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมทันสมัย เพื่อให้คนไทยได้รับประโยชน์ในอนาคต โดยเชื่อว่า สภาพแวดล้อมของประเทศไทย รวมทั้งมาตรการทางด้านภาษี ผ่านการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8-15 ปี และพลังงานสะอาดที่เตรียมความพร้อมเอาไว้อย่างเต็มที่ จะเป็นจุดดึงดูดสำคัญให้นักลงทุนเข้ามาในประทศไทย และจุดแข็งที่สำคัญอีกอย่างของประเทศไทยปัจจุบันในสายตาของนักลงทุนทั่วโลกนั่นคือ ความมั่นคงทางด้านการเมือง
ส่วนนโยบายนายกฯ ที่ตั้งใจว่าจะเป็นเซลล์แมนของประเทศไทยนั้น นายกฯ ยอมรับว่า เรื่องนี้รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้สูงและท้าทาย โดยจะเป็นเป้าหมายในการตั้งใจทำงานหนัก ซึ่งตอนนี้ยังเป็นช่วงของการเริ่มต้นและยังมีอีกหลายเรื่องต้องพยายามเร่งทำงานให้หนัก โดยตอนนี้ยังมีสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขหลายอย่าง เช่นการผลักดัน Ease of Doing Business ต้องง่าย สะดวก รวดเร็ว มีหลักนิติธรรมที่ชัดเจน และรัฐบาลเห็นว่าการแก้ปัญหาหลาย ๆ เรื่อง ณ ตอนนี้อะไรที่ทำได้ก่อนก็ต้องเร่งทำออกมา
ตัวอย่างที่สำคัญ นั่นคือ ปัจจุบันประเทศไทยกำลังเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหลายประเภท ทั้งรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง โดยในส่วนของรถไฟความเร็วสูงนั้น ถือเป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการทำการค้าระหว่างประเทศ แต่ที่ผ่านมาเกิดอุปสรรคบางอย่าง เช่น ช่วงรอยต่อระหว่างไทยไปสปป.ลาวนั้น ยังมีปัญหาการติดขัดในเรื่องของขั้นตอนขนถ่ายสินค้าผ่านแดน ทำให้เกิดอุปสรรคในการขนส่งสินค้าอย่างมาก จึงจำเป็นต้องแก้ไขแบบ ONE STOP SERVICE หรือ การให้บริการเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว มิฉะนั้นการขนส่งสินค้าไปยังประเทศปลายทางจะไม่เกิดประโยชน์แท้จริงแม้จะมีรถไฟความเร็วสูงเกิดขึ้นก็ตาม
“เชื่อว่าทุกรัฐบาลเห็นปัญหาเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ และพยายามแก้ไข ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ไม่ต่างจากรัฐบาลอื่น แต่วิธีการแก้ไขของรัฐบาลอาจจะต่างจากรัฐบาลอื่น โดยอาจจะลองใช้การทดลองนำร่องการแก้ปัญหาก่อนที่ด่านหนองคาย ถ้าทำได้ก็ขยายไปที่อื่น โดยเฉพาะการลดขั้นตอนของเอกสารที่มีขั้นตอนมาก และทำให้การขนส่งสินค้าจากไทยไปจีนช้ามาก”
นายกฯ ยอมรับว่า ขณะนี้ได้มอบหมายทีมงานกลับมาโฟกัสและไล่งานต่าง ๆ ให้กระชับขึ้น และติดตามงานที่โฟกัสเอาไว้อย่างชัดเจน ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่าข้าราชการไทยมีคุณภาพ และรักประเทศ อยากเห็นประเทศไทยพัฒนาต่อไปได้ ซึ่งบางเรื่องเมื่อนายกฯ มีความสนใจ ก็เชื่อว่าเขาจะมีกำลังใจในการขับเคลื่อนงานได้ ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่ารัฐบาลได้ทำงานในภาพกว้างก่อน เพื่อเก็บเกี่ยวข้องมูล ส่วนในเชิงลึกก็ค่อยมาลงในรายละเอียด โดยการตามงานทั้งหมดก็ได้มอบหมายทุกหน่วยงานช่วยกันโฟกัสเรื่องสำคัญ ๆ ของประเทศและผลักดันออกมาให้ได้โดยเร็ว
ส่วนการทำงานของนายกฯเองนั้น ที่ผ่านมาเคยทำงานในภาคธุรกิจมาก่อนพอมาเจอการบริหารราชการแผ่นดินแบบราชการปรับตัวได้หรือไม่ นายกฯ ยอมรับว่า รับทราบเรื่องการทำงานราชการอยู่แล้วว่าจะลำบาก แต่ไม่อยากเอาเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขหรือข้อแก้ตัวดีกว่าว่าคือปัญหา เพราะหน้าที่ของผู้นำรัฐบาลจำเป็นต้องโน้มน้าวในทุกภาคส่วนได้รับทราบร่วมกันถึงเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เช่นเดียวกับฝ่ายความมั่นคงเองก็น่าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่ดีและเหมาะสม