นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลกระทบของการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทย โดยประเมินเบื้องต้นว่า ผลกระทบจากนโยบายทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์ จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยน้อยมาก
ทั้งนี้เนื่องจากจำนวนบุคลากรภาครัฐที่ได้รับผลจากนโยบายมีสัดส่วนเพียง 4.7% ของลูกจ้างชาวไทยทั้งหมด ประกอบกับหน่วยงานราชการภาครัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน และให้บริการประชาชน ไม่ได้แสวงหากำไร ดังนั้น การส่งผ่านต้นทุนดังกล่าวมายังค่าบริการของภาครัฐ จึงทำได้จำกัด
ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาข้อมูลในปี 2558 ซึ่งมีการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการเช่นกัน ก็ไม่ได้ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต และจะส่งผลให้ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตของบุคลากรเหล่านี้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นการรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพ มีคุณภาพเข้าสู่ระบบราชการ ซึ่งจะเสริมสร้างประสิทธิภาพของระบบราชการไทยต่อไป
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า นโยบายนี้จะไม่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ และอุปสงค์ที่ผ่านมายังอัตราเงินเฟ้อของไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องด้วยหน่วยงานราชการเป็นสถานประกอบการที่ภาครัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐด้วยกันและให้บริการประชาชน ไม่ได้แสวงหากำไร ต้นทุนหรืองบประมาณรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน
เหตุผลดังกล่าวจึงเป็นข้อจำกัดในการขึ้นค่าบริการของหน่วยงานภาครัฐที่จะส่งผ่านมายังภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน แม้กลุ่มบุคลากรภาครัฐที่คาดว่าจะได้รับผลจากนโยบาย จะมีสัดส่วนประมาณ 27.8% ของบุคลากรภาครัฐทั้งหมด
ขณะเดียวกัน หากเปรียบเทียบจำนวนข้าราชการที่คาดว่าจะได้รับผลจากนโยบายกับผู้มีรายได้กลุ่มอื่นพบว่า มีสัดส่วนเพียงประมาณ 4.7% เมื่อเทียบกับจำนวนลูกจ้างชาวไทย และ 2.2% เมื่อเทียบกับผู้มีงานทำชาวไทย (อาทิ นายจ้าง ลูกจ้าง และผู้ทำงานส่วนตัวโดยไม่มีลูกจ้าง) ทั้งหมด
ทำให้ขนาดกำลังซื้อที่จะเพิ่มขึ้นจากนโยบายดังกล่าวมีสัดส่วนค่อนข้างต่ำมากหากเทียบกับกำลังซื้อของลูกจ้างหรือผู้มีงานทำกลุ่มอื่น ที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้ที่สูงขึ้นตามผลการดำเนินงาน ระยะเวลาการทำงาน ทักษะ ความสามารถ และประสบการณ์
ด้วยเหตุผลข้างต้น กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจึงไม่น่าส่งผลต่อระดับราคาสินค้าและบริการและอัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งเมื่อพิจารณาอัตราเงินเฟ้อในช่วงระยะเวลาที่มีนโยบายปรับเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ เห็นได้ว่าอัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวตามปัจจัยทางเศรษฐกิจอื่นมากกว่าผลของนโยบายปรับค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ
โดยการดำเนินมาตรการครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2557 ซึ่งรัฐบาลปรับเงินเดือนข้าราชการเพิ่ม 1 ขั้น สำหรับระบบเงินเดือนแบบขั้น หรือ 4% ของอัตราเงินเดือน สำหรับระบบเงินเดือนแบบช่วง รวมถึงปรับค่าตอบแทนพนักงานราชการโดยการเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราว และปรับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น 4% ในพนักงานราชการบางกลุ่ม
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2558 กลับลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับปี 2557 เนื่องด้วยได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับลดลงเป็นอย่างมาก ส่งผลต่อราคาน้ำมันจำหน่ายปลีกในประเทศลดลง
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทย น้อยมาก เนื่องจากหน่วยงานราชการภาครัฐจัดตั้งขึ้นเพื่อการให้บริการหน่วยงานภาครัฐด้วยกัน และให้บริการประชาชน มิได้แสวงหากำไร ต้นทุนหรืองบประมาณรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน
ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงเป็นข้อจำกัดในการขึ้นค่าบริการของหน่วยงานภาครัฐที่จะส่งผ่านมายังภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ประกอบกับจำนวนบุคลากรรัฐที่ได้รับผลจากนโยบายมีสัดส่วนค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับจำนวนลูกจ้างชาวไทยหรือผู้มีงานทำชาวไทย การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายดังกล่าวอย่างน้อยจะส่งผลให้การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโต แต่จะไม่ส่งผลต่อระดับราคาสินค้าและบริการและอัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ควรเฝ้าระวังเรื่องการฉวยโอกาสในการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการที่ไม่สมเหตุผล รวมถึงจะต้องติดตามสถานการณ์การปรับขึ้นค่าบริการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ค่าเล่าเรียน/ค่าธรรมเนียมสถาบันการศึกษาของเอกชน ค่าบริการทางการแพทย์/ค่าการตรวจรักษาสถานพยาบาลเอกชน อย่างใกล้ชิดต่อไป