ตลาดการดูแลสัตว์เลี้ยงทั่วโลก (อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยง และบริการ) ในปี 2565 มีมูลค่ากว่า 280,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าระหว่างปี 2566 – 2575 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) อยู่ที่ 7% หรือคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 550,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2575 (ที่มา: Global Market Insights)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย (พิกัดศุลกากร 230910 และ 230990) ในปี 2566 แม้ว่าจะหดตัวมาตั้งแต่ต้นปี แต่ในช่วงปลายปีเริ่มกลับมาขยายตัว โดยในเดือนพฤศจิกายน 2566 มีมูลค่า 222 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 3% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า มีตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มาเลเซีย อิตาลี และออสเตรเลีย ตามลำดับ
สำหรับปี 2565 ไทยเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง อันดับ 6 ของโลก (แต่ส่งออกอาหารสุนัขและแมวเป็นอันดับ 3 ของโลก) โดยมีมูลค่าการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 2,803 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 3.36% ของการส่งออกสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของโลก ขยายตัว 16.46% เมื่อเทียบกับปี 2564
โดยผู้ส่งออก 5 อันดับแรกของโลก ได้แก่
ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนของอาหารสุนัขและแมว (พิกัดศุลกากร 230910) ไทยส่งออกเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากเยอรมนี และสหรัฐอเมริกา โดยมีมูลค่าการส่งออก 2,434 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 5.51% ของการส่งออกสินค้าอาหารสุนัขและแมวทั่วโลก ขยายตัวร้อยละ 19.33 เมื่อเทียบกับปี 2564 (ที่มา: Global Trade Atlas)
จากผลสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคทั่วโลกปี 2566 ของ Euromonitor International Voice of the Consumer พบว่า แนวโน้มสำคัญที่ส่งผลต่อพฤติกรรมและความต้องการในการเลือกซื้ออาหาร และผลิตภัณฑ์ดูแลสัตว์เลี้ยงของผู้บริโภคในยุคนี้ ได้แก่
ข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) เปิดเผยแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งเป็นตลาดผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยงที่มีมูลค่าการค้าสูง โดยอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงของ EU มีมูลค่ารวม 29,100 ล้านยูโร (31,100 ล้านเหรียญสหรัฐ) ขยายตัว 5.1%
ขณะที่สมาคมอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงยุโรป (European Pet Food Industry Federation) รายงานว่า ปี 2565 มีครัวเรือนกว่า 91 ล้านครัวเรือนในยุโรป มีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง (46% ของครัวเรือนทั้งหมด) โดยประเภทของสัตว์เลี้ยงที่นิยม คือ แมว (ประมาณ 78 ล้านตัว) และสุนัข (ประมาณ 67 ล้านตัว) และมีปริมาณการจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงรวม 10.5 ล้านตัน
นอกจากนี้ พบว่าในสหภาพยุโรปเจ้าของสัตว์เลี้ยงเริ่มมองหาคุณประโยชน์ด้านอื่น ๆ ของผลิตภัณฑ์มากขึ้น เช่น อาหารสัตว์เลี้ยงออร์แกนิก อาหารสัตว์เลี้ยงที่ทำจากพืชและแมลง หรือบรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งแนวโน้มความต้องการดังกล่าวได้เริ่มแพร่กระจายไปยังตลาดเกิดใหม่ด้วย ทำให้ผู้ผลิตและจำหน่ายต้องหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องมาตรฐานมากขึ้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ได้เห็นชอบร่างระเบียบว่าด้วยฉลากออร์แกนิกสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะทำให้กฎระเบียบการควบคุมฉลากอาหารออร์แกนิกสำหรับสัตว์เลี้ยงเป็นไปในทิศทางเดียวกับอาหารออร์แกนิกสำหรับมนุษย์ ซึ่งมีการกำหนดให้อาหารสัตว์เลี้ยงที่ติดฉลากออร์แกนิก ต้องมีส่วนผสมทางการเกษตรที่เป็นออร์แกนิกอย่างน้อย 95% ของน้ำหนักผลิตภัณฑ์ (จากเดิมกำหนดให้มีส่วนผสมทางการเกษตรทั้งหมดหรือร้อยละ 100 เป็นออร์แกนิก) ระเบียบดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2566 โดยมีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 6 เดือนหลังจากที่มีผลบังคับใช้ (วันที่ 1 พฤษภาคม 2567)
“แม้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงของไทยจะมีศักยภาพในการเติบโตและยังคงเป็นที่ต้องการจากผู้บริโภคทั่วโลก แต่ผู้ส่งออกก็ยังต้องให้ความสำคัญต่อข้อกำหนดการนำเข้า มาตรฐานของประเทศปลายทาง และแนวโน้มความต้องการ รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภครายใหม่ ๆ อยู่เสมอซึ่งสหภาพยุโรปเป็นตลาดส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่ไทยจะต้องเร่งผลักดันการส่งออกให้เพิ่มขึ้น”
สำหรับกฎระเบียบและมาตรการที่ยุโรปบังคับใช้นั้น เป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงไทย ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถเจาะกลุ่มตลาดพรีเมียม อาทิ การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงออร์แกนิก การวิจัยและพัฒนา (R&D) อาหารสัตว์เลี้ยงให้มีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น
รวมถึงต้องศึกษารสนิยม พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภค ตลอดจนการเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงผู้บริโภคยุคใหม่ และผู้บริโภคกลุ่ม “Pet Humanization” โดยราคาต้องเหมาะสมกับคุณภาพ สร้างภาพลักษณ์และความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ และให้ความสำคัญกับมาตรฐานและความปลอดภัยของวัตถุดิบเป็นอันดับต้น ๆ
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อสินค้าอาหารสัตว์เลี้ยงของไทย ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางการตลาดให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยรักษาส่วนแบ่งตลาดเดิม และเพิ่มโอกาสในการแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดใหม่ ๆ จากคู่แข่งท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น