สรุปภารกิจ "ภูมิธรรม" ยกทัพเจาะตลาดส่งออกสินค้าไทยในฮ่องกง

16 มี.ค. 2567 | 03:15 น.
อัปเดตล่าสุด :16 มี.ค. 2567 | 03:15 น.

“ภูมิธรรม” ยกทัพพาณิชย์กระชับความสัมพันธ์การค้าไทย-ฮ่องกง พร้อมร่วมเป็นสักขีพยานการเซ็น MOU กับ Big C ฮ่องกง - เข้าชมงาน FILMART 2024 - เยี่ยมโกดังเก็บข้าว

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์นำทีมร่วมหารือกับรัฐมนตรีพาณิชย์และการพัฒนาเศรษฐกิจฮ่องกง ได้ให้สัมภาษณ์กับฐานเศรษฐกิจถึงภาพรวมของการเดินทางมาหารือการค้าระหว่างไทยและฮ่องกง ระหว่างวันที่ 10-12 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา โดยเผยว่า ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาหารือการค้าที่ฮ่องกง ตนได้เดินทางไปที่ “เซินเจิ้น” ตั้งแต่วันที่ 8-9 มีนาคม 2567 และได้พบกับผู้นำเข้ารายใหญ่ของจีน 2 ราย ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิและข้าวต่างๆ ของไทยเข้ามาประเทศจีน

ในส่วนของข้าวหอมมะลินั้น ส่วนใหญ่มีลักษณะการพัฒนาการขายได้ดีมากขึ้น โดยในบริษัทหนึ่งได้มีการเอาข้าวมาบรรจุถุงเป็นข้าวของแต่ละจังหวัดที่มีการติดต่อกันอยู่ อาทิ ข้าวจากเชียงราย มหาสารคาม และยโสธร เป็นต้น ซึ่งจะมีวิธีการเล่าเรื่องราวที่มาของข้าวว่าในแต่ละที่มีความเป็นมาและมีดีอย่างไร ทำให้ประชาชนได้รู้รายละเอียดว่าข้าวที่รับประทานเป็นข้าวของที่ไหน

ส่วนใหญ่สินค้าจะได้ติดตราเขียวหรือเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทยของกรมการค้าต่างประเทศ อันเป็นสัญลักษณ์ที่กระทรวงพาณิชย์และกรมการค้าต่างประเทศรับรอง โดยเท่ากับเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่าเขาได้มาขยายตลาดและพัฒนาแพคเกจจิ้งต่างๆ 

อีกเจ้าหนึ่งที่ตนได้พบนั้น มีการนำข้าวมาบรรจุแบบสุญญากาศถุงละ 5-10 กิโลกรัม และบรรจุใส่กล่องอีกที สิ่งที่น่าสนใจคือมีการนำข้าวมาพัฒนาให้เหมาะกับบุคลิกของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน โดยจะเห็นว่าผู้บริโภคในปัจจุบันพักอาศัยอยู่ในคอนโดหรืออาศัยอยู่ในครัวเรือนที่ส่วนมากมี 2-4 คน ก็จะมีการแพคข้าวเป็นห่อคล้ายเต้าหู้หลอด ซึ่งวัสดุสำคัญที่ใช้คือการเติมไนโตรเจนเข้าไปข้างใน ทำให้ข้าวคงความสดใหม่ไว้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ ถุงข้าวที่ใช้ก็เป็นพลาสติกอย่างดี ซึ่งในข้าว 1 หลอดสามารถทานได้สำหรับครอบครัวเล็กๆ แสดงให้เห็นว่าเป็นการพัฒนารูปแบบวิธีการที่สอดรับกับผู้บริโภค 

แผนการหารือทำ “ศูนย์ระบายสินค้า” ที่เซินเจิ้น มีแนวโน้มความร่วมมือที่ดี

สิ่งสำคัญที่ได้พูดคุยหารือกันคือ เราอยากจะทำศูนย์ระบายสินค้าที่เซินเจิ้น เนื่องจากเป็นตลาดที่นำเข้าข้าวที่ใหญ่มากพอสมควร ซึ่งหากเราสามารถเจรจาตกลงกับทางรัฐบาลจีนและมีความเห็นชอบที่ตรงกัน ก็จะสามารถสร้างศูนย์ระบายสินค้าที่นี่ได้ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อข้าวไทย เนื่องจากเราไม่ต้องส่งข้าวไปหลายท่าหรือหลายที่ แต่สามารถส่งข้าวไปรวมกันยังที่เดียวได้เลย

รวมถึงจะเป็นโกดังที่จะพัฒนาเป็นโกดังสมัยใหม่ที่เก็บข้าวได้ และจากที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชมโกดังดังกล่าว ประกอบกับได้ร่วมพูดคุยกันแล้ว มีแนวโน้มที่เราจะร่วมมือกันได้ดีมากกว่านี้ ซึ่งเขาเป็นผู้นำเข้าข้าวหอมมะลิไทยอยู่แล้ว โดยเราจะมีการพูดคุยและประสานกับผู้ประกอบการไทยให้เห็นถึงตัวอย่างในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มมูลค่าของข้าวที่ส่งออกไปขายให้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น 

นายภูมิธรรม ระบุว่า การตั้งศูนย์ระบายสินค้ายังเป็นเพียงการคุยกันเบื้องต้น แต่ก็เป็นทางเดินในอนาคตที่น่าสนใจ เนื่องจากเรามีประสบการณ์ทำศูนย์กระจายสินค้าที่เป็นพืชผลไม้ที่กว่างโจว แต่ในครั้งนี้จะทำที่เซินเจิ้น เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ในเรื่องตลาดค้าข้าวของไทยที่เข้าสู่จีน

หากเราจะทำได้ต้องมีที่ดิน โดยหลังจากที่ได้ไปเยี่ยมชมโกดัง พบว่าเป็นการสร้างโกดังที่ใช้พื้นที่ไม่มาก แต่อาศัยการใช้ความสูงแทน เนื่องจากราคาที่ดินที่สูง ซึ่งตรงกับนโยบายที่ตนเคยให้ไว้ ว่าอยากจะใช้องค์การคลังสินค้า หรือ อคส. ในการรับบทบาทเรื่องนี้

แต่คงจะต้องกลับไปดูก่อนว่าสภาพขององค์กรในขณะนี้เป็นอย่างไร ซึ่งถ้าเป็นไปได้ตนก็อยากทำและอยากให้องค์กรนี้ฟื้นมีชีวิตขึ้นมาเพื่อดำเนินงานอีกครั้ง แต่เท่าที่ทราบมายังมีปัญหาค่อนข้างมาก  

ทั้งนี้ ได้มีการดำเนินการกับเอกชนด้วย เพราะหากรัฐต้องลงทุนเองทั้งหมด ยังคงติดปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายที่เยอะ รวมถึงหากบุคลากรเราไม่พร้อมก็จะบริหารยาก แต่เมื่อมีเอกชนเข้าร่วมด้วยก็จะต้องมีการดำเนินการให้สำเร็จ เพื่อไม่ให้เกิดการขาดทุน ดังนั้น เราเลยจะให้เอกชนร่วมลงทุน

โดยทางเราจะเป็นผู้ช่วยเจรจาให้รัฐบาลจีนยอมให้เช่าที่ดินที่จะใช้ทำโกดังเก็บสินค้า และคาดว่าจะมีผู้ประกอบการชาวจีนที่มีทั้งเครือข่ายและระบบโลจิสติกส์ที่รองรับ ก็จะส่งผลให้การทำสิ่งต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้น อย่างในกรณีจัดส่งข้าวก็สามารถส่งมาที่ท่าเรือนี้ในเซินเจิ้นได้โดยง่ายและสะดวกสบาย เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ตนจะนำไปหารือเพื่อดำเนินการให้เกิดขึ้นต่อไป 

ในส่วนของอคส. คงต้องรอให้มีบอร์ดบริหารก่อน แล้วค่อยมาว่ากันอีกที ทั้งนี้ การดำเนินเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรอทางอคส. เนื่องจากรัฐได้เข้ามาเป็นผู้สนับสนุนและผู้เจรจาเปิดช่องทางให้เอกชนสามารถเข้าไปดำเนินการได้ ซึ่งตรงตามนโยบายของท่านนายกฯ โดยจะมีการกลับไปศึกษาและหารือกันอีกครั้ง

เยี่ยมชม “Smart City” พร้อมศึกษาระบบ นำกลับมาพัฒนาแผน “EEC” ของไทย

การเดินทางไปเซินเจิ้นในครั้งนี้ นายภูมิธรรมได้เข้าชม Smart City ซึ่งเป็นงานในส่วนที่ตนรับผิดชอบ สืบเนื่องมาจากที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC เองก็มีแผนที่จะทำ Smart City เช่นเดียวกัน จึงได้มีการไปดูระบบของเขาว่าเมืองอัจฉริยะนั้นเป็นอย่างไร หรือทำกันอย่างไร

อย่างไรก็ดีทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับพื้นฐานของระบบข้อมูล ซึ่งตนได้ไปดูบริษัทที่รับผิดชอบทำระบบฐานข้อมูล พบว่ามีกระบวนการสร้างฐานข้อมูลและมีวิธีการโยงข้อมูลทั้งระบบ ทำให้เครือข่ายของหน่วยราชการเป็นหน่วยราชการดิจิทัล ซึ่งตรงกับที่ไทยเราจะทำรัฐบาลดิจิทัลเช่นกัน หากสามารถเข้าใจกระบวนการเหล่านี้ได้

โดยได้มีการแสดงประโยชน์ให้เห็นถึงกระบวนการทำงานแบบเรียลไทม์ เพื่อติดต่อสื่อสารกับผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ต่างๆ ได้โดยตรง สามารถดูภาพจากดาวเทียมในกรณีมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น และหาช่องทางในการแก้ไขปัญหาได้ อีกทั้งยังสามารถใช้ดูแลเรื่องอุบัติเหตุ การจราจร ความปลอดภัย อาชญากรรม ภัยพิบัติ รวมไปถึงเรื่องการเพาะปลูกในภาคการเกษตรได้อีกด้วย      

ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม MOU ระหว่างผู้ส่งออกไทยและ Big C ฮ่องกง

"ภูมิธรรม" นำทีม 10 บริษัทผู้ส่งออกไทย จับมือค้าปลีกใหญ่ฮ่องกง นายภูมิธรรม และทีมพาณิชย์นำทีม 10 บริษัทผู้ส่งออกไทยเข้าร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับห้างสรรพสินค้า Big C ฮ่องกง พร้อมเป็นสักขีพยานการเซ็นสัญญาในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยขยายโอกาสการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยออกสู่ตลาดฮ่องกง โดยสินค้าเกือบทุกอย่างในบิ๊กซีเป็นสินค้าของไทย รวมกว่า 4,500 รายการ ซึ่งมีสินค้ารองรับอยู่หลากหลายแบบและหลายขนาดให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรุงรส ขนมทานเล่น และอาหารแปรรูปต่างๆ 

ร่วมงาน “FILMART 2024” เยี่ยมชมคูหา Thai Pavilion ดันผลงานฟิล์มไทย

"ภูมิธรรม" บุกฮ่องกง ดันภาพยนตร์-ซีรีส์ไทย ร่วมงาน FILMART 2024 นายภูมิธรรม กล่าวว่า ภารกิจหลักในการเดินทางมาฮ่องกงในครั้งนี้ คือการเข้าเฝ้าทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ที่เสด็จมาเป็นองค์ประธานพิธีเปิดงาน Thai Night ในงาน Hong Kong International Film & TV Market 2024 (FILMART 2024) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 โดยท่านให้ความสนพระทัยทั้งภาพยนตร์ไทย ละครไทย ซีรีส์ไทย รวมถึงซีรีส์ของต่างประเทศเป็นอย่างมาก

แสดงให้เห็นว่า ตลาดภาพยนตร์พัฒนาไปไกลมาก ซึ่งงานนี้เป็นงานฟิล์มใหญ่ที่ไทยเราเลือกมาร่วมงานกว่า 27 บริษัท รวมไปถึงหน่วยงานไทยอีก 10 หน่วยงานที่เข้าร่วมด้วย รวม 37 หน่วยงาน ให้ได้มาทำการพูดคุยและซื้อขายทางธุรกิจร่วมกัน 

"ภูมิธรรม" เดินทางเยี่ยมชมคูหา Thai Pavilion ดันฟิล์มไทยสู่ตลาดฮ่องกง โดยทางกระทรวงพาณิชย์ได้เดินทางมาเพื่อทำการศึกษาว่าควรจะนำกลับไปปรับกับของไทยอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ได้เดินทางเข้าร่วมงาน Thai Night เพื่อพูดคุยและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างผู้ประกอบการไทยและผู้ประกอบการต่างชาติ

นอกจากนี้ นายภูมิธรรมยังได้พาทีมพาณิชย์เข้าเยี่ยมชมคูหะ “Thai Pavilion” เวทีที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงท่องเที่ยว และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นการบูรณาการของหน่วยราชการที่จะเข้ามาช่วยให้งานต่างๆ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ของไทยดีขึ้น 

"พาณิชย์" ร่วมหารือความร่วมมือระหว่างกรม DITP และองค์การ HKTDC ณ ฮ่องกง

นอกจากนี้ ยังได้มีการหารือถึงการยกระดับความร่วมมือระหว่างกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และองค์การสภาพัฒนาการค้าฮ่องกง (HKTDC) ที่ได้มีการลงนาม MOU เพื่อสร้างความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการค้า การสนับสนุนกิจกรรมการค้าเพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของธุรกิจ SMEs เช่น จัดการฝึกอบรมระหว่างกัน และความร่วมมือในการส่งเสริมการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ

หารือการค้ากับสมาคมค้าข้าวฮ่องกง พร้อมเยี่ยมชมโกดังเก็บข้าวคุณภาพ

“ภูมิธรรม” ลุยโกดังข้าวฮ่องกง เชื่อมั่นคุณภาพข้าวไทย พร้อมส่งออก เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ที่ผ่านมา นายภูมิธรรมและทีมพาณิชย์ ร่วมกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวของฮ่องกง ที่มีการนำเข้าข้าวไทย อาทิ ข้าวหอมมะลิ รวมถึงได้ไปดูโกดังเก็บข้าวด้วย ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก เนื่องจากพื้นที่ในฮ่องกงมีราคาแพง ดังนั้นการจัดโกดังได้ถึง 17 ชั้น

โดยแต่ละชั้นของโกดังถูกใช้สำหรับจัดเก็บข้าว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข้าวของไทย เพราะฮ่องกงมีการนำเข้าข้าวหอมมะลิไทยเป็นอันดับหนึ่ง คิดเป็นมากกว่าครึ่งเมื่อเทียบกับข้าวพันธุ์อื่นๆ ที่ฮ่องกงนำเข้ามาทั้งหมด ตลอดจนได้มีการเข้ามาหารือกันในฐานะที่ทางสมาคมมีความสำคัญ และเป็นตลาดข้าวที่ใหญ่ที่สุดของไทยในฮ่องกง ไทยจึงได้มีการสอบถามสถานการณ์ข้าวไทยในปัจจุบันของฮ่องกง 

ทางสมาคมเผยว่า ข้าวไทยที่ฮ่องกงดีมาตลอด แต่ติดปัญหาช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนไม่ออกจากบ้าน ส่งผลให้สถานการณ์การซื้อขายข้าวต่ำลงประมาณหนึ่ง ทั้งนี้ หลังจากฟื้นขึ้นมาฮ่องกงก็เผชิญปัญหาด้านการเงิน ซึ่งเป็นระยะยาวกว่า 5 ปี แต่หลังจากนั้นผู้บริโภคมีความพยายามที่จะเข้าร่วมและรู้สึกคึกคักมากขึ้น รวมถึงมีชาวต่างชาติเข้ามาตลาดท่องเที่ยวฮ่องกงเพิ่มขึ้น ทางสมาคมจึงเชื่อมั่นว่า ข้าวไทยของเราจะสามารถเพิ่มปริมาณการนำเข้าได้มากกว่านี้อีก

โดยตัวเลขเดิมน่าจะอยู่ที่ราวๆ 150,000 ตัน ซึ่งตอนนี้ทางฮ่องกงคาดว่าจะสามารถไปได้ถึง 180,000 ตัน พร้อมเผยว่า ขณะนี้ฮ่องกงต้องการข้าวที่รักษาสุขภาพ และมีแนวโน้มว่าในอนาคตผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับข้าวที่มีผลดีต่อสุขภาพและมีคุณภาพมากขึ้น อย่างข้าวกล้องและข้าวไรซ์เบอรี่ เป็นต้น ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

สรุปภารกิจ \"ภูมิธรรม\" ยกทัพเจาะตลาดส่งออกสินค้าไทยในฮ่องกง

นอกจากนี้ นายภูมิธรรมยังได้เข้าพบกับผู้บริหารระดับสูงของฮ่องกง และได้มีการร่วมหารือกับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ รัฐมนตรีคลังและการลงทุน รวมไปถึงรัฐมาตรีการค้าของฮ่องกง โดยทั้ง 3 ฝ่ายแสดงจุดยืนชัดเจนว่าอยากจะร่วมมือกับไทยในการพัฒนาความสัมพันธ์ในการซื้อขายข้าวให้มีมากยิ่งขึ้น อย่างโกดังที่ทีมพาณิชย์ได้เข้าเยี่ยมชมเผยว่า ประมาณเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคมก็มีการแลกเปลี่ยนกับไทยเป็นปกติอยู่แล้ว ซึ่งเขาได้เข้าไปดูตลาดข้าวแท้ๆ ในช่วงที่ข้าวกำลังออกรวงดี 

ในส่วนของโกดังข้าวที่ทางกระทรวงฯ ได้เดินทางมาเยี่ยมชมที่ฮ่องกงนั้น ทำได้ดีมาก มีลิฟต์ใหญ่ไว้ขนของทั้งหมด 2 ตัว สามารถจุได้ 3 ตัน และสามารถใช้รถโฟล์คลิฟท์ได้ถึง 12 คัน ในการขนสินค้าหนึ่งครั้งรวม 13 ตัน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่าข้าวทั้งหมดที่มีอยู่ในสต็อกสามารถใช้ดูแลคนฮ่องกงได้ 2 สัปดาห์ ในกรณีหากฮ่องกงไม่มีข้าวรับประทาน ซึ่งถือเป็นโกดังข้าวที่ใหญ่มาก 

สรุปภารกิจ \"ภูมิธรรม\" ยกทัพเจาะตลาดส่งออกสินค้าไทยในฮ่องกง

โดยข้าวเหล่านี้ถูกจัดเก็บด้วยอุณหภูมิ 17-18 องศา เย็นตลอดเวลา และจากโกดังทั้งหมด 17 ชั้น ชั้นบนสุดสามารถสร้างเป็นที่เก็บไวน์ได้ พร้อมกับมีการใช้ระบบเปิด-ปิดไฟอัตโนมัติ เนื่องจากการเก็บไวน์ไม่ต้องการแสงหรือยูวี จึงต้องระวังเรื่องแสงต่างๆ ไม่ให้เข้าไป ทั้งนี้ ไวน์ที่ถูกจัดเก็บอยู่ในแต่ละตู้ เป็นไวน์ที่บริษัทขายไวน์หรือเศรษฐีฮ่องกงมาเช่าโกดังเป็นที่เก็บไวน์ไว้จำนวนมาก รวมถึงมีการจำหน่ายไวน์ทุกชนิดจากทั่วโลก

ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของเทคโนโลยีที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้และดูแลสินค้าของเราให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นได้ โดยในโกดังมีทั้งข้าวเก่าและข้าวใหม่ แต่ได้รับการจัดเก็บที่ทำให้ข้าวยังคงความหอมและนุ่ม รวมถึงมีเครื่องมือดักแมลงให้มอดไม่ขึ้นอีกด้วย

"ฮ่องกง" มอง "ไทย" เป็นศูนย์กลางอาเซียน และประตูด่านหน้าไปสู่เอเชียตะวันออก

ตลาดฮ่องกงเป็นตลาดใหญ่ที่ไทยให้ความสำคัญมาก รวมไปถึงตลาดจีนด้วย และสิ่งที่สำคัญจากการพูดคุยกับผู้บริหารฮ่องกงและทางจีนนั้น นายภูมิธรรมเผยว่า ทั้งเราและเขาต่างเป็นด่านสำคัญที่มีศักยภาพทั้งคู่ เมื่อนำมาเชื่อมรวมกันจะทำให้เกิดการค้าขายได้มาก

นอกจากนี้ ยังมองไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมถึงมองไทยเป็นประตูในการไปสู่เอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกกลางที่จะไปถึงแอฟริกาได้ ในส่วนของฮ่องกงก็เป็นด่านหน้าของการเข้าแผ่นดินใหญ่จีน ซึ่งแต่ละมณฑลใหญ่กว่าประเทศไทย ถือเป็นข้อดีระหว่างกัน และหากเราสามารถร่วมมือกันได้มาก รับมือการได้ดี ความแข็งแรงตรงนี้จะช่วยทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ดียิ่งขึ้น 

นอกจากตลาดข้าวแล้ว ยังมีเรื่องของอัญมณีและอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ฮ่องกงมีการนำเข้า ซึ่งได้คอยแลกเปลี่ยนกันอยู่ตลอด โดย ณ เวลานี้ สังคมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศมีการจัดอีเวนต์ต่างๆ เพื่อจับคู่ผู้ประกอบการกับผู้นำเข้า-ส่งออกให้สามารถดำเนินการสิ่งต่างๆ ได้ และจะเห็นได้ว่ามีหลายกิจกรรม อาทิ ตลาดผลไม้ ตลาดข้าว ตลาดพืชผลทางเกษตร เป็นต้น

ส่งผลให้การค้าขายคล่องตัวและเร็วขึ้น รวมถึงเกิดความมั่นใจและความไว้วางใจขึ้น โดยทางรัฐบาลจะสนับสนุน ให้ความแข็งแรง ให้ความเชื่อมั่นในสินค้าของเกษตรกรไทย รวมถึงนายภูมิธรรมยังให้คำมั่นว่าเราให้ความสำคัญในการพัฒนาคุณภาพข้าวให้สูงขึ้น ทั้งผลผลิตต่อไร่ที่มากขึ้น เมื่อมีปริมาณไร่ที่มากขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนถูกลง เนื่องจากได้ปริมาณข้าวไว้สำหรับขาย รวมถึงสามารถพัฒนาคุณภาพข้าวไทยที่ทุกคนสนใจคือเรื่องความหอมและความนุ่มนวลของข้าว 

เชื่อมั่น “ข้าวไทย” ยังรักษาตลาดไว้ได้ 

นายภูมิธรรม เผย แม้ว่าในบางประเทศจะมีการผลิตข้าวได้ปริมาณมากกว่าเรา แต่มีความหอมสู้ไทยไม่ได้ ส่งผลให้มีคนติดตามและเป็นที่นิยม หากเราพัฒนาคุณภาพให้ได้ปริมาณสูงขึ้นอีกก็จะยิ่งทำให้การค้าขายดีขึ้น ทั้งนี้ สิ่งที่ไทยกำลังเผชิญอยู่คือ ผลิตผลในการเกษตรมีต้นทุนที่สูง แต่ขายได้ราคาต่ำ ซึ่ง ณ ตอนนี้เรากำลังมุ่งปรับให้มีต้นทุนต่ำ นำไปขายในราคาสูง และไปเพิ่มเติมในเรื่องของคุณภาพการผลิตให้ดีขึ้น

“SINOPEC” เตรียมเซ็น MOU 25 มีนาคม 2567 นี้

“SINOPEC” กำลังเตรียมลงนาม MOU กับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในวันที่ 25 มีนาคม 2567 ณ ประเทศไทย ซึ่งเป็นการสานต่อจากที่เซี่ยงไฮ้ โดยได้มีการตกลงหารือกันว่าอยากเห็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในจีนเปิดรับให้นำสินค้าไทยไปขายได้ รวมถึงเขามีปั๊มน้ำมันราว 30,000 ปั๊ม ซึ่งเป็นปั๊มน้ำมันใหญ่อันดับต้นๆ ของจีน หากเราสามารถปรับแพคเกจจิ้งสินค้าให้เป็นขนาดที่ตรงตามความต้องการ ก็จะสามารถนำมาใช้เป็นสินค้าและบริการต่างๆ ให้กับผู้ที่มาใช้บริการเติมน้ำมันได้

รวมถึงได้มีการตกลงกันว่าจะทำชั้นวางจำหน่ายสินค้าไทยเอาไว้ในมินิมาร์ทของเขา ที่มีอยู่ราว 20,000 แห่ง โดยการร่วมมือกับ SINOPEC นั้นมีอยู่ด้วยกันหลายด้าน ซึ่งอาจทำให้เราได้รับอีกหลายอย่าง นอกเหนือจากที่กล่าวมา 

ร่วมพิธีเปิดงาน Thai Food Festival และสาธิตการทำอาหารไทย

"ภูมิธรรม" และทีมพาณิชย์ ร่วมงาน Thai Food Festival ในวันที่ 12 มีนาคม 2567 นอกจากจะมีการเข้าร่วมหารือเรื่องการค้าข้าวในฮ่องกง รวมถึงเข้าชมโกดังเก็บข้าวแล้ว นายภูมิธรรมและทีมพาณิชย์ยังได้เดินทางไปร่วมเปิดงาน Thai Food Festival พร้อมทั้งเข้าร่วมสาธิตการทำอาหารขึ้นชื่อของไทยอย่าง "ข้าวผัดกะเพรา ไข่ดาว" และร่วมพูดคุยกับนักศึกษา HK PolytU อีกด้วย

"ภูมิธรรม" ร่วมงาน Thai Food Festival - สาธิตการทำอาหารไทย

ทั้งนี้ นายภูมิธรรมได้ทิ้งท้ายว่า การนำทีมเดินทางมาฮ่องกงในครั้งนี้ เพื่อดูแลตลาดเก่าของไทย พร้อมมองหาตลาดใหม่ โดยอาจจะเป็นในตลาดเดิมก็ได้เช่นเดียวกัน แต่จะมีการนำเสนอสินค้าแบบใหม่ หรือเป็นพื้นที่ใหม่ไปเลย ซึ่งเป็นความร่วมมือที่สามารถประสานงานและทำให้เกิดขึ้นได้ และหลักๆ เราจะพัฒนาตลาดเดิมที่มี แต่ด้วยคุณภาพสินค้าที่สมัยก่อนมีการนับคุณภาพจากปริมาณสินค้าว่ามีการส่งออกเท่าไหร่ จึงอาจจะต้องมีการเปลี่ยนใหม่เป็นการดูว่าสินค้าเหล่านั้น มีมูลค่าการซื้อขายที่เท่าไหร่มากกว่า