ทั้งนี้จะนำไปรวมกับกรรมการประเภทแต่งตั้งที่มาจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรมของ ส.อ.ท. และจาก 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ ทำให้ได้กรรมการทั้งสิ้น 366 คนที่จะไปลงมติเลือกประธานส.อ.ท.คนใหม่ (คนที่ 17) ภายใน 30 วันนับจากนี้
ก่อนศึกเลือกตั้งประธาน ส.อ.ท.มีสีสันบรรยากาศการประชันวิสัยทัศน์ ระหว่างคู่แคนดิเดตที่จะลงชิงตำแหน่ง รวมถึงมีหลายเรื่องที่ยังมีความคลุมเครือของทางฝั่งผู้ท้าชิง (นายสมโภชน์ อาหุนัย) ที่ต้องเคลียร์ หรือพิสูจน์ความจริง
อย่างไรก็ดี สาระสำคัญของการเลือกตั้งครั้งนี้คงต้องโฟกัสหรือมองไปข้างหน้าว่า ในวาระ 2 ปีนับจากนี้ (2567-2569) ว่าที่ประธาน ส.อ.ท.คนใหม่จะมีนโยบายหรือยุทธศาสตร์ที่จะนำพาสมาชิกไปในทิศทางใด ซึ่ง นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท.คนปัจจุบัน ที่ได้ลงชิงตำแหน่งในวาระที่ 2 ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงเข็มทิศนำทางที่จะนำพาสมาชิก ส.อ.ท.เคลื่อนทัพไปข้างหน้า หากยังได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งต่ออีกสมัย
นายเกรียงไกร กล่าวว่า นโยบายที่ตนใช้ขับเคลื่อน ส.อ.ท.ในวาระแรก คือ ONE FTI (One Vision, One Team, One Goal) ที่ได้วางแผนไว้ 2+2 (วาระแรก 2 ปี ต่อวาระสองอีก 2 ปี) ซึ่งในวาระแรกได้เน้นการขับเคลื่อน First Industries หรืออุตสาหกรรมเดิม ส.อ.ท. และขยายผลสู่ Next-GEN Industries ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่หรืออุตสาหกรรมแห่งอนาคต (S-Curves) ที่ขับเคลื่อนด้วย BCG Model (Bio-Circular-Green) ที่เป็นทิศทางของโลก
“ใน 2 ปีแรกยังไม่สามารถที่จะผลักดันโครงการที่ได้ประกาศตามนโยบาย ONE FTI ได้ครบถ้วน บางอันก็ได้เริ่มไปแล้ว บางอันก็เพิ่งเริ่ม บางอันก็ไปได้ไกล สิ่งที่ผมวางไว้เป็นการวางแผนการทำงานใน 2 สมัยติดต่อกัน ซึ่งต้องทำอย่างต่อเนื่องถึงจะเกิดผล ดังนั้นนโยบายที่จะได้ทำในอีก 2 ปีข้างหน้า เป็นการขยายผลจากโครงเดิม 80% และจะมีการปรับให้เหมาะสมเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอีก 20%”
เรื่องสำคัญคือการเน้นหนักในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่เป็นคนส่วนใหญ่ ของ ส.อ.ท.ให้มากขึ้น จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกมีความท้าทายและมีความผันผวนเปราะบางค่อนข้างมาก และไทยก็เผชิญปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลให้เอสเอ็มอีกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน และยังต้องเผชิญกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาดัมพ์ตลาดในหลายกลุ่มสินค้า ทำให้หลายโรงงานอยู่ไม่ไหว ต้องปิดตัวไป บางรายผันตัวเป็นผู้นำเข้าแทน
ดังนั้นนโยบายอีก 2 ปีข้างหน้า จะให้ความสำคัญกับแก้ไขปัญหาให้กับเอสเอ็มอีอย่างเข้มข้นและจริงจัง โดยร่วมมือกับภาครัฐในการหามาตรการต่างๆ ที่จะช่วยผลักดันเอสเอ็มอีทั่วประเทศในการทรานส์ฟอร์มจากเอสเอ็มอีธรรมดาสู่ “สมาร์ท เอสเอ็มอี” ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาทำได้ส่วนหนึ่งแล้ว แต่จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จในอีก 2 ปีข้างหน้า โดยมี 3 ส่วนที่ให้ความสำคัญได้แก่
1.Go Digital ล่าสุดได้สั่งการให้กับกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลของ ส.อ.ท.เตรียมแพ็กเกจโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ ๆ ต่าง ๆ ภายใต้โครงการ “DigitalOne” เพื่อช่วยยกระดับเอสเอ็มอีทั่วประเทศ เช่นโปรแกรมด้านการ ผลิต ด้านการบัญชี และด้านการควบคุมต่างๆ ที่ช่วยลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และช่วยลดรายจ่าย ซึ่งปกติแต่ละโปรแกรมมีมูลค่าเป็นหลักหมื่น หลายโปรแกรมรวมกันเป็นหลักแสน
“ได้ให้กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลสร้างและรวบรวมแพ็กเกจ ที่สำคัญ ๆ ที่สมาชิกส.อ.ท.จำเป็นต้องใช้โดยทุกโปรแกรมจากแพ็กเกจหลักแสนจะลดเหลือเพียง 1,110 บาท เพื่อให้เอสเอ็มอีสามารถจับต้องและเป็นเจ้าของได้ และนำไปพัฒนาตัวเองได้ทันที ตรงนี้เป็นนโยบายเชิงรุก หากเลือกตั้งเสร็จและผมยังได้รับความไว้วางใจจะเดินสายทั่วประเทศ เพื่อไปแนะนำและให้ความรู้สมาชิกเพื่อนำไปใช้ได้จริงและเห็นผล ตรงนี้จะเป็นแพ็กเกจโดยสมัครใจไม่บังคับสมาชิกแต่อย่างใด แต่หากเขานำไปใช้เชื่อว่าจะช่วยยกระดับให้เป็นสมาร์ทเอสเอ็มอีได้เร็วขึ้น”
2.Go Innovation เป็นเอสเอ็มอี “จิ๋วแต่แจ๋ว” ด้วยนวัตกรรมซึ่งจะคล้ายกับเอสเอ็มอีของไต้หวันและอิสราเอล ล่าสุดทาง ส.อ.ท.ได้ร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดตั้งกองทุนนวัตกรรม ที่เรียกว่า Innovation One โดยกระทรวงอว.ได้ให้งบสนับสนุน 1,000 ล้านบาท และส.อ.ท.สมทบอีก 1,000 ล้านบาท รวมเป็น 2,000 ล้านบาท ในกรอบระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ และเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า โดยทาง อว.ได้โอนเงินมาแล้ว และจะบุกเต็มที่ในอีก 2 ปีข้างหน้า
ทั้งนี้ผู้ที่จะมาขอใช้เงินจากกองทุนนี้ ต้องมีคุณสมบัติในเบื้องต้นคือ เป็นสตาร์ทอัพหรือเอสเอ็มอีที่มีนวัตกรรมที่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น BCG ดิจิทัล ไบโอเทค สมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมลดปล่อยคาร์บอน การรีไซเคิลเพื่อนำสินค้ากลับมาใช้ใหม่ เป็นต้น
3.Go Global จะผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถผลิตและขายสินค้าไปต่างประเทศได้ในมาตรฐานที่ต่างประเทศยอมรับ หากเป็นเอสเอ็มอีที่เป็นซัพพลายเชนของผู้ส่งออกต่างชาติที่มาตั้งฐานผลิตในไทย จะผลักดันให้ได้มาตรฐานสากล เพื่อยกระดับมาตรฐานตัวเองไปกับสินค้าต่าง ๆ
“ทั้ง 3 Go เป็นนโยบายใหม่ที่จะมาเสริมนโยบาย ONE FTI ที่จะเร่งดำเนินการในอีก 2 ปีข้างหน้า หากผมยังได้รับโอกาส เชื่อว่าหากทำตามแผนตามยุทธศาสตร์นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในภาคการผลิตของไทยสามารถยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตาแน่นอน” นายเกรียงไกร กล่าว