ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า นโยบาย Medical Hub ถูกหยิบยกให้เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่ทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูง ที่เป็น 1 ใน 13 หมุดหมายสำคัญตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ.2566-2570)
ซึ่งการยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเป็น Medical Hub และศูนย์กลางทางการแพทย์และสุขภาพมูลค่าสูงแถวหน้าของเอเชีย ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศมูลค่ามหาศาล ท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันจากหลายประเทศทั่วโลก และกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยี ทำให้ไทยจำเป็นต้องมีการ upgrade วิวัฒนาการใหม่ ทันโลก ทันสมัย
โดยมุ่งไปสู่การนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เนื่องจากเทคโนโลยี AI จะเข้ามาช่วยติดปีกให้เกิดการแพทย์มูลค่าสูงทั้งใน “อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ และที่สำคัญคือการบริการทางการแพทย์” ที่เป็นจุดเด่นสำคัญและไทยมีความพร้อมมากที่สุด
“อุตสาหกรรมการแพทย์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 2 แสนกว่าล้านบาท การยกระดับและสนับสนุนการใช้ AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยจะเสริมศักยภาพและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมการแพทย์ให้ทัดเทียมนานาชาติ”
นอกจากนี้ ยังเป็นประโยชน์ต่อระบบสาธารณสุขในระยะยาว และสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ทั่วโลก ที่คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่าปีละ 30-40% แตะระดับ 1.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วง 5-6 ปีข้างหน้านี้
นายกณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ปัจจุบันกระแสของ “ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI” มาแรงอย่างมาก และกลายเป็นอีกก้าวสำคัญสู่อนาคตที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญ ดังจะเห็นได้จากการที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในไทยและต่างประเทศ ได้พูดถึงและเริ่มนำ AI มาใช้ในองค์กรมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ในอุตสาหกรรมการแพทย์ ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ต้องนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ ได้แก่
“เรามองว่า เทคโนโลยี AI จะเป็นจิกซอว์สำคัญที่เข้ามาช่วยส่งเสริมให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในวงการแพทย์ ไม่เพียงแต่ให้ประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลเท่านั้น แต่จะเข้ามาช่วยต่อยอดและผลักดันให้อุตสาหกรรมการแพทย์เติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกมิติในระยะ 5-10 ปีข้างหน้านี้”
น.ส. สุจิตรา อันโน นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่า สำหรับ 5 เทรนด์เทคโนโลยี AI ด้านการแพทย์ที่น่าจับตามอง ที่จะเข้ามาเสริมทัพให้อุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยรุดหน้าทัดเทียมนานาชาติ ได้แก่
“5 เทรนด์ ดังกล่าว จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ในหลายมิติ และเราประเมินว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ตลาด AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง”
ทั้งนี้ สอดคล้องกับการเติบโตของการนำ AI มาใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ โดยรวม เนื่องจากในปัจจุบันการนำ AI มาใช้ในองค์กรของไทยยังอยู่ในระดับที่ไม่สูงมากนัก คาดว่า มูลค่าตลาด AI ในอุตสาหกรรมการแพทย์ของไทยจะขึ้นไปแตะระดับ 353 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ และจะช่วยสร้างมูลค่าลงทุนสะสมในรอบ 10 ปีจากนี้ (2567-2577) ถึง 1,617 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ดี การยกระดับอุตสาหกรรมการแพทย์ด้วยเทคโนโลยี AI ของไทยจะประสบความสำเร็จได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่เอื้อให้เกิดการลงทุน การสอดประสานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาด้าน AI และด้านการแพทย์ ควบคู่กับการลงทุนจากภาคเอกชนที่มีความพร้อมทั้งด้านองค์ความรู้ ทรัพยากร และเงินลงทุน เพื่อให้เกิดการพัฒนาและการลงทุนอย่างบูรณาการ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้ง Ecosystem