วันนี้ (20 พฤษภาคม 2567) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า นโยบายเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ของรัฐบาล หากสามารถทำได้ตามเป้าหมายคือในไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 เชื่อว่าจะมีส่วนผลักดันให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัวได้เพิ่มเติมอีกประมาณ 0.25% จากประมาณการของ สศช.ที่คาดว่า ทั้งปีเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2-3% หรือเฉลี่ย 2.5%
"ตัวเลขที่สศช. ประมาณการในปี 2567 นี้ ยังไม่ได้รวมผลของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต เข้าไป แต่เมื่อดูไทม์ไลน์ว่าจะเริ่มต้นไตรมาสที่ 4 และจะมีผลไป 6 เดือน คาดว่า เงินที่จะออก คือเงินใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง อาจจะไม่ได้ใช้จ่ายในไตรมาสที่ 4 ทีเดียวทั้ง 5 แสนล้านบาทก็ได้ เพราะเมื่อดูเป็นช่วง ๆ หากไตรมาส 4 มีมาตรการนี้ออกมาก็น่าจะมีส่วนเสริมกับเศรษฐกิจไทยประมาณ 0.25%" เลขาฯ สศช. กล่าว
นายดนุชา กล่าวว่า การผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อีก 0.25% จากโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานสำคัญว่า การเบิกจ่ายเงินจากโครงการจะไม่ได้ออกมาทั้ง 100% เพราะยังมีแหล่งเงินที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนหลายตัว เมื่อถึงเวลาอาจจะมีแหล่งเงินบางอย่างออกมาแล้วมีความพร้อมทำไปบางส่วนก่อนก็ได้ ซึ่งต้องติดตามเป็นช่วง ๆ ไป รวมไปถึงการใช้จ่ายผ่านร้านค้าต่าง ๆ ด้วย
ทั้งนี้สศช. ยังไม่ได้มีการประเมินตัวเลขของการใช้จ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ตจะเกิดขึ้นทั้งหมดวงเงิน 5 แสนล้านบาท ภายในไตรมาสที่ 4 หรือไม่ ดังนั้นจึงต้องขอไปติดตามข้อเท็จจริงรายละเอียดโครงการอีกครั้ง ก่อนจะสรุปข้อมูลที่ชัดเจนต่อไป
สำหรับแนวโน้มทั้งปี 2567 สศช. ประมาณการว่า เศรษฐกิจไทย จะขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 2-3% (ค่ากลางการประมาณการ 2.5%) โดยเป็นการปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ จากการขยายตัว 1.9% ในปี 2566 คาดว่าการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 4.5% และ 3.2% ตามลำดับ มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 2% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.1 - 1.1% และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 1.2% ของ GDP