รัฐบาล ดิ้นทุกทางยอมหั่น GDP ขาดดุล เพิ่มหนี้ ปีงบ 68-71 แจกเงินดิจิทัล

28 พ.ค. 2567 | 08:35 น.
อัปเดตล่าสุด :28 พ.ค. 2567 | 08:37 น.

ครม.ไฟเขียว แผนการคลังระยะปานกลาง ฉบับทบทวน ครั้งที่ 2 รัฐบาลดิ้นทุกทางยอมหั่น GDP ขาดดุล เพิ่มหนี้สาธารณะ ตั้งแต่ปีงบ 2568-2571 ลุยแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ตามนโยบายรัฐบาล

วันนี้ (28 พฤษภาคม 2567) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ฉบับทบทวน ครั้งที่ 2 (ปีงบประมาณ 2568 - 2571) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เสนอ โดยได้ปรับลดตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ตั้งแต่ปี 2567-2571 ลงให้สอดคล้องกับประมาณการครั้งใหม่

สำหรับเหตุผลของการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง ฉบับทบทวน ครั้งนี้ เป็นผลมาจากการประชุมครม.เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2567 ได้มีมติเห็นชอบมอบหมาย ให้สำนักงบประมาณ กระทรวงการคลัง และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ดำเนินการ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับแหล่งเงินสำหรับการดำเนินการโครงการเติมเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ซึ่งเป็นการเพิ่มปริมาณเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ

ประกอบกับมติครม.เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 และเพื่อให้ทิศทางของการบริหารจัดการการเงินการคลังของประเทศ มีความสอดคล้องกับแนวทางในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลในปัจจุบัน และสอดคล้องกับแนวทางวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี จึงมีความจำเป็นต้องทบทวนแผนการคลังระยะปานกลาง อีกครั้ง

นายชัย กล่าวว่า สถานะและประมาณการเศรษฐกิจ ภายใต้แผนการคลังระยะปานกลาง ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวเลข GDP ของไทยใหม่ ดังนี้

  • ปี 2567 เดิมอยู่ที่ 2.7% ฉบับใหม่ลดลงเหลือ 2.5%
  • ปี 2568 เดิมอยู่ที่ 3.3% ฉบับใหม่ลดลงเหลือ 3.0%
  • ปี 2569-2570 เดิมอยู่ที่ 3.3% ฉบับใหม่ลดลงเหลือ 3.2%
  • ปี 2571-2572 เดิมอยู่ที่ 3.2% ฉบับใหม่ลดลงเหลือ 3.0%

สำหรับอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในปี 2569 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.9 -1.9% และปี 2570 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 1.1 - 2.1 ส่วนในปี 2571 - 2572 มีแนวโน้มจะอยู่ในช่วง 1.3 - 2.3%

ส่วนประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิ ปรับเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • ปีงบประมาณ 2567 เท่ากับ 2,797,000 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2568 เท่ากับ 2,887,000 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2569 เท่ากับ 3,040,000 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2570 เท่ากับ 3,204,000 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2571 เท่ากับ 3,394,000 ล้านบาท

ส่วนประมาณการงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ มีดังนี้

  • ปี 2567 ปรับเพิ่มขึ้น 122,000 ล้านบาท ทำให้กรอบวงเงินงบประมาณอยู่ที่ 3,602,000 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 3,752,700 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2569 อยู่ที่ 3,743,000 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2570 อยู่ที่ 3,897,000 ล้านบาท
  • ปีงบประมาณ 2571 อยู่ที่ 4,077,000 ล้านบาท

ส่วนจากประมาณการรายได้รัฐบาลสุทธิและงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว ในปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณ เพิ่มขึ้นอีก 112,000 ล้านบาท ทำให้ขาดดุลงบประมาณแต่ละปี มีดังนี้

  • ปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ 805,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.3% ต่อ GDP
  • ปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 865,700 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.5% ต่อ GDP
  • ปีงบประมาณ 2569 อยู่ที่ 703,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.5% ต่อ GDP
  • ปีงบประมาณ 2570 อยู่ที่ 693,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.3% ต่อ GDP
  • ปีงบประมาณ 2571 อยู่ที่ 683,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.1% ต่อ GDP 

ขณะที่ ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นปีงบประมาณ 2566 มีจำนวน 11,131,634 ล้านบาท คิดเป็น 62.4% ของ GDP และประมาณการสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ส่วนปีอื่น ๆ มีดังนี้

  • ปีงบประมาณ 2567 อยู่ที่ 65.7%
  • ปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 67.9%
  • ปีงบประมาณ 2569 อยู่ที่ 68.8%
  • ปีงบประมาณ 2570 อยู่ที่ 68.9%
  • ปีงบประมาณ 2571 อยู่ที่ 68.6%

นายชัย กล่าวว่า เป้าหมายและนโยบายการคลัง รัฐบาลยังคงมุ่งเน้นการจัดทำงบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุลในระยะสั้น เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ และมุ่งเน้นการปรับลดขนาดการขาดดุลให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงในระยะปานกลาง

ทั้งนี้ หากในระยะต่อไป ภาวะเศรษฐกิจไทยสามารถขยายตัวได้อย่างเต็มศักยภาพ ภาครัฐสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งทางการคลังทั้งทางด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะได้ เป้าหมายการคลังในระยะยาวจะกำหนดให้รัฐบาลมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในระยะเวลาที่เหมาะสม