“เศรษฐา” Exclusive Talk รับปม 40 สว. กระทบเชื่อมั่น กาง 4 นโยบายถึงสิ้นปี

01 มิ.ย. 2567 | 13:08 น.
อัปเดตล่าสุด :01 มิ.ย. 2567 | 14:24 น.

นายกฯ “เศรษฐา ทวีสิน” Exclusive Talk ในรายการเนชั่นสุดสัปดาห์ ยอมรับปมศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องของกลุ่ม 40 สว. กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ กาง 4 นโยบายรัฐบาล พร้อมลุยช่วงที่เหลือของปี 2567

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สัมภาษณ์พิเศษ Exclusive Talk ในรายการเนชั่นสุดสัปดาห์ ทางเนชั่นทีวี วันนี้ (1 มิถุนายน 2567) โดยกล่าวถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องของกลุ่ม 40 สว.ไว้พิจารณา กรณีนายกฯ ได้มีการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า เมื่อกรณีนี้เกิดขึ้นแล้วก็ต้องชี้แจงในความสุจริตต่อศาลไปตามขั้นตอน โดยเรามั่นใจว่าในการแต่งตั้งมีความชอบธรรม

"ไม่อยากบอกว่า ไม่ได้เหนือความคาดหมาย แต่เมื่อเราก้าวเข้าสู่เวทีสาธารณะแล้ว เราต้องตอบคำถามให้หมดทุกอย่าง ฝ่ายบริหารก็มีหน้าที่บริหาร แต่ถ้าฝ่ายนิติบัญญัติมีข้อท้วงติงมา เราฝ่ายบริหารก็ต้องฟัง และมีหน้าที่ตอบทุกข้อสงสัย" นายกฯ ระบุ

ทั้งนี้ยอมรับว่า ในการแต่งตั้งครั้งนี้ก็มีหลายฝ่ายไม่พอใจ แต่ก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารต้องชี้แจง ส่วนจะเป็นที่พึงพอใจหรือไม่ก็ขอให้ชี้แจงไปก่อน และให้เกียรติศาลฯ เป็นผู้วินิจฉัย แต่ส่วนตัวแล้วขอยืนยันความบริสุทธิ์ใจในความสุจริต และต้องพยายามเขียนข้ออธิบายให้ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้

นายกฯ กล่าวด้วยว่า การชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญที่ศาลฯ ให้เวลาชี้แจงภายใน 15 วัน ก็มีคนถามว่าจะมีการขอขยายระยะเวลาชี้แจงออกไปอีกหรือไม่ โดยเรื่องนี้พยายามจะไม่ขอเพิ่มหรือขยายเวลา เพราะจะต้องตอบให้ครบถ้วน แต่ในระยะเวลา 15 วันนี้ขอให้เตรียมข้อมูล คำชี้แจงต่าง ๆ ให้รอบครอบและรัดกุม

ยอมรับกระทบความเชื่อมั่น

ส่วนผลกระทบจากกรณีนี้จะกระทบต่อความเชื่อมั่นหรือไม่นั้น นายกฯ ยอมรับว่า ก็มีส่วนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศ เพราะภาพที่ออกมาอาจจะกระทบกับการทำงานในเรื่องของการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA ที่เรากำลังคุยกับประเทศต่าง ๆ รวมทั้งเรื่องของการประกาศแผนการขับเคลื่อนประเทศไทย หรือ Ignite Thailand ที่ได้ประกาศไป

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ ทุก ๆ คนที่อยู่ในทีมไทยแลนด์ ทั้งรัฐบาล พรรคเพื่อไทย และพรรคคร่วมรัฐบาล ก็ต้องพิจารณากัน และคงต้องมานั่งคิด และน้อมรับเรื่องที่เกิดขึ้นมา และหาทางแก้ไขให้ดีที่สุด กรณีที่เป็น best case เราผ่านสถานการณ์นี้ได้ แต่ก็ต้องมานั่งดูต้นตอว่าเกิดอะไรขึ้น

นายกฯ ระบุว่า ตอนนี้ได้บอกกับทีมงานว่าเราต้องทำงานให้หนักขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจเพื่อไม่ให้งานสะดุด และให้เห็นว่าทุกอย่างนั้นรัฐบาลพยายามที่จะขับเคลื่อนไปข้างหน้าให้ได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับทุกภาคส่วนว่ารัฐบาลจะตั้งใจทำงานต่อไป

ยังไม่มีโอกาสคุยบิ๊กป้อม

นายกฯ ยังกล่าวถึงการหารือกับพรรคร่วม โดยมีโอกาสได้เข้าไปคุยกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ โดยนายกฯ กล่าวว่า ไม่เคยคุย โดยไม่รู้จักพล.อ.ประวิตร เป็นการส่วนตัวมาก่อน ส่วนการหาโอกาสไปคุยด้วยหรือไม่นั้น นายกฯ ยอมรับว่า ไม่ได้อยู่ในตารางที่จะไปคุย แต่ถ้าเกิดว่าในฐานะรองนายกฯ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญ ถ้าชวนไปผมก็ไปหา ไม่ได้ติดอะไร

ยันปัญหาใน ตร. จบใน 1-2 เดือน

ส่วนกรณีปัญหาของการโยกย้ายข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก นั้น นายกฯ ยืนยันว่า ได้ทำตามมติคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน และขอให้มั่นในว่า จะทำให้ถูกต้องที่สุด โดยคาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้น่าจะได้ความชัดเจนมากขึ้น

ผลงานเดินทางต่างประเทศ 15 ทริป

สำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาได้เดินทางไปต่างประเทศกว่า 15 ทริปนั้นถือเป็นภารกิจสำคัญ ซึ่งสิ่งที่ไปพูดคุยกับรัฐบาล และนักลงทุนในประเทศต่าง ๆ ก็เพื่อให้เห็นว่าประเทศเราวันนี้พร้อมสำหรับเปิดรับการลงทุน และสร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจ ส่วนผลสัมฤทธิ์ของการเดินทางไปยังต่างประเทศนั้นบางคนก็อาจจะสอบถามว่าการลงทุนจะเกิดขึ้นจริงเท่าไหร่ และเมื่อไหร่จะมีการเข้ามาลงทุน

กรณีของ Microsoft และ Google ซึ่งไมโครซอฟต์ นั้น ซีอีโอของไมโครซอฟต์ได้เดินทางมายังประเทศไทยเองมีการประกาศการลงทุนในไทยแต่ยังไม่ประกาศตัวเลขการลงทุน ส่วน Google ไปประกาศการลงทุนในมาเลเซีย ซึ่งการทำงานระหว่างรัฐบาลกับบริษัทระดับโลกทั้งสองรายนั้นยังมีการหารือกันอยู่ แต่ว่าการที่มีประกาศตัวเลขการลงทุนในประเทศอื่นก็เพราะมีการคุยกันมานานก่อนประเทศไทย 

“อย่างกรณีของ AWS ที่ประกาศการลงทุนในประเทศไทย 1.9 แสนล้านบาท ที่ผ่านมาก็มีการทำงานมาต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง และเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่งก็มั่นใจจะมีการประกาศการลงทุนในไทยเช่นกัน ซึ่งการลงทุนระดับแสนล้านบาทก็ต้องใช้ระยะเวลาในการตัดสินใจ เหมือนเวลาซื้อบ้านก็ต้องใช้เวลาตัดสินใจ” นายกฯ ระบุ 

แก้หนี้นอกระบบวาระหลัก

นายกฯ กล่าวว่า ในการเดินทางลงพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ จะได้รับการร้องเรียนเรื่องหลัก ๆ คือ เรื่องหนี้นอกระบบ แนวทางแก้ไขถือว่ายาก เพราะมีเยอะ โดยที่ผ่านมาได้เรียกประชุม และมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ใช้กลไกของตำรวจและนายอำเภอ เจรจาประนีประนอมหนี้ผู้กู้และผู้ให้กู้ พร้อมทั้งดำเนินการกับเจ้าหนี้ที่คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด

พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลัง ใช้กลไกของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เข้ามาช่วยจัดสรรสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเข้ามาช่วยเหลือลูกหนี้ สามารถที่จะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพต่อไปได้

เช่นเดียวกับการผลักดันกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายยกเลิกความผิดทางอาญาคดีเช็ค หรือกฎหมายเช็คเด้ง และกฎหมายล้มละลาย ซึ่งที่ผ่ามามีข้าราชการหลายคนต้องออกจากราชการ เพราะล้มละลายจากสภาพเศรษฐกิจ เรื่องนี้จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมาย 

ต่อมาคือเรื่องของยาเสพติด เป็นผลมาจากกการเป็นหนี้มีเงินไม่พอใช้ก็หันไปพึ่งยาเสพติด ที่ผ่านมาในการแก้ปัญหาตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาได้จับคุมผู้กระทำความผิดได้มากกว่า 4 เท่าในช่วงเวลาเดียวกัน โดยไตรมาสสุดท้ายปีก่อนจับได้มากกว่าทั้งปีที่ทำมา

ส่วนอีกปัญหา คือด้านการเกษตร โดยเฉพาะเรื่องของน้ำท่วม น้ำแล้ง ซึ่งรัฐบาลได้วางแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ถ้าหากแก้ปัญหานี้ได้เกษตรกรจะมีนายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก และช่วยลดปัญหาการจ่ายเงินเยียวยาด้วย เช่นเดียวกับการพัฒนาดิน ปุ๋ย และพัฒนาพันธุ์ข้าวคู่กัน

กาง 4 นโยบายช่วงที่เหลือของปีนี้

นายกฯ ยอมรับว่า ภารกิจที่สำคัญของรัฐบาลในช่วงที่เหลือของปีนี้รัฐบาล จะให้ความสำคัญ 4 เรื่อง ดังนี้

1.การพัฒนาการเกษตรโดยต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนโยบายไม่ท่วมไม่แล้ง ซึ่งเป็นนโยบายที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด ซึ่งเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนก็ต้องเฝ้าระวังในเรื่องการป้องกันน้ำท่วม 

โดยได้มีการปรึกษากับทีมงานว่าจะลงในพื้นที่ใดบ้างที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก เช่น จ.อุบลราชธานี ที่มีปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากมาโดยตลอด ซึ่งพื้นที่แบบนี้ควรจะลงไปแล้ววางแผนทำงานร่วมกับกรมชลประทานเพื่อดูเรื่องของการระบายน้ำให้เป็นระบบเพื่อประโยชน์ของเกษตรกร และผู้ใช้น้ำในพื้นที่ ซึ่งเรื่องการบริหารจัดการน้ำภาคเกษตร

รวมทั้งการพัฒนาพันธุ์พืช การทำเกษตรแบบแม่นยำ และการหาพันธุ์พืชที่ดีมาให้เกษตรกรปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น โดยให้องค์ความรู้กับเกษตรกร 

2.การดูแลราคาพืชผลเกษตร ซึ่งนอกจากราคาสินค้าเกษตรหลัก ๆ ที่มีราคาดี เช่น ข้าว ยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง ที่ราคาดี ตอนนี้รัฐบาลกำลังดูในเรื่องของราคาสินค้าเกษตรที่เป็นพืชเศรษฐกิจระดับรองที่ผลผลิตกำลังจะออกมา เช่น ลำไย หอมแดง ซึ่งพืชผลเหล่านี้รัฐบาลจะช่วยเข้าไปดูกลไกราคาผ่านการบริหารดีมานต์ซัพพลาย 

รวมทั้งหาตลาดเพิ่มเพื่อให้ราคาสูงขึ้น ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มากขึ้น ซึ่งรัฐบาลตั้งเป้าการเพิ่มรายได้ของเกษตรกรไทยให้ได้ 3 เท่าภายในรัฐบาลนี้ 

3. การขับเคลื่อนการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องขับเคลื่อนต่อเนื่องเพราะในไตรมาสที่ 3 – 4 ปีนี้ จะเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่มีกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว และการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ เข้ามา ซึ่งจะเสริมให้การท่องเที่ยวของไทยมีความคึกคักและต่อเนื่องไปถึงปี 2568 ที่ประเทศไทยตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวของอาเซียน 

4.การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 ถือว่าเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญของรัฐบาลในปีนี้ โดยมีกิจกรรมเทิดพระเกียรติต่อเนื่อง และเป็นงานที่รัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุด ส่วนภารกิจอื่น ๆ ของนายกฯ ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศในช่วงนี้จะขอชะลอไว้ก่อน