นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทยเดือนพฤษภาคม 2567 เท่ากับ 108.84 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 1.54% ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปบวกเพิ่มต่อเนื่องเดือนที่ 2 และสูงสุดในรอบ 13 เดือน
ขณะเดียวกัน แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมิถุนายน ปี 2567 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่ชะลอลง เนื่องจาก 4 ปัจจัยหลัก ได้แก่
ส่วนปัจจัยที่ทำให้สินค้าบางชนิดยังอยู่ในระดับสูง เนื่องจากราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ ปรับมาอยู่ที่ 33 บาทต่อลิตรสูงกว่าช่วงเดือนเดียวกันของปี 66 ความไม่แน่นอนจากผลกระทบของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจทำให้ราคาน้ำมันและค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการนำเข้าสินค้าปรับตัวสูงขึ้นตาม
ทั้งนี้ ดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนพฤษภาคม 2567 ปรับตัวสูงขึ้น 3.9% ประกอบด้วย
ดัชนีราคาผู้ผลิต แบ่งตามขั้นตอนการผลิต ประกอบด้วย ดัชนีราคาหมวดสินค้าสำเร็จรูป และหมวดสินค้ากึ่งสำเร็จรูป (แปรรูป) สูงขึ้น 4.1% และ 5.8% ตามลำดับ ขณะที่หมวดสินค้าวัตถุดิบ ลดลง 1.0% จากกลุ่มสินค้าวัตถุดิบ ที่ไม่ใช่อาหาร ลดลง 3.8% สำหรับกลุ่มสินค้าวัตถุดิบสำหรับอาหาร สูงขึ้น 1.2%
ทั้งนี้ ในห่วงโซ่อุปทานมีสินค้าสำเร็จรูปที่ราคาเคลื่อนไหวในทิศทางสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบ ในอุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวสารเจ้า ข้าวนึ่ง่งปลายข้าว ข้าวเปลือกเหนียว ข้าวสารเหนียว ยางแผ่นดิบ น้ำยางสด เศษยาง ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง น้ำยางข้นและอ้อย น้ำตาลทราย
อย่างไรก็ดี ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนมิถุนายน 2567 มีแนวโน้มสูงขึ้น ตามราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ มาตรการอุดหนุนด้านพลังงานของภาครัฐที่ลดลง ส่งผลให้สินค้าที่เกี่ยวเนื่องในหมวดอุตสาหกรรม รวมไปถึงต้นทุนวัตถุดิบและ ค่าขนส่งที่ส่งผลกระทบตลอดห่วงโซ่อุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น เมื่อรวมกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากภาคการเลี้ยงปศุสัตว์ อาจส่งผลให้สินค้า ในหมวดเกษตรกรรมปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งฐานราคาปี 2566 อยู่ในระดับค่าเฉลี่ยที่ต่ำ จะทำให้ดัชนีราคาผู้ผลิตมีแนวโน้มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ราคาพลังงานในตลาดโลกที่ยังมีความผันผวนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าระลอกใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น รวมไปถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ทยอยดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลกระทบ ต่อภาคการผลิตและดัชนีราคาผู้ผลิตของประเทศไทยตามลำดับ และจะต้องมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด