สภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยเวลานี้อาการน่าเป็นห่วง โดยก่อนหน้านายทวี ปิยะพัฒนา รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ในฐานะที่ดูเศรษฐกิจต่างจังหวัดต้องบอกว่า ขณะนี้เศรษฐกิจของประเทศแย่มาก
ทั้งนี้ ทุกคนต่างบ่นกันหมด ต่างจังหวัดเงียบมาก กรุงเทพก็เงียบ ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณอันตราย เนื่องจากภายในก็แย่ ขณะที่ผลกระทบจากต่างประเทศก็กดดันสูง โดยเฉพาะกับจีน
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน หรือกกร.ยังแสดงจุดยืนชัดเจน คัดค้านการปรับขึ้นค่าแรงเป็นวันละ 400 บาทเท่ากันทั่วประเทศ หากยังยืนยันจะปรับขึ้นในวันที่ 1 ต.ค.นี้ จะได้เห็นสัญญาณอันตรายยิ่งกว่านี้ โดยเฉพาะผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ประกอบการรายเล็ก หรือเอสเอ็มอี (SMEs) อาจได้เห็นการปิดตัวเพิ่มขึ้น
“สงครามการค้าทำให้สินค้าจีนถูกต่อต้าน มีผลต่อการส่งออกของไทยประมาณ 20% นี่คือสัญญาณอันตราย เรียกว่าภายในก็แย่ ปัจจัยภายนอกก็มากดดัน ยิ่งหากมาปรับขึ้นค่าแรงวันที่ 1 ต.ค. เท่ากับเป็นการปรับขึ้นครั้งที่ 3 ในรอบปี ไม่มีประเทศใดที่จะปรับขึ้นค่าแรง 3 ครั้งต่อปี เพราะตามกฎหมายให้แค่ 1 ครั้งต่อปี"
นายทวี กล่าวต่อไปอีกว่า เรื่องดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน ยิ่งตอนนี้โรงงานปิดไปแล้วใกล้ๆจะพันแห่ง เลิกจ้างไปจำนวนมาก หากเกิดมีเหตุการณ์นี้อีกนับว่าเป็นสัญญาณอันตรายอย่างมาก โดยผลสำรวจค่าแรงวันนี้เอกชนเกิน 70% ไม่ต้องการให้มีการปรับ
ขณะที่นายนายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง อดีตผู้ประกอบการเหล็กผู้ล้มละลายจากวิกฤติต้มยำกุ้ง เจ้าของวลีดัง "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" ระบุว่า เศรษฐกิจเวลานี้น่าเป็นห่วงมากกว่าวิกฤตต้มยำกุ้งมาก เพราะเป็นกันทั้งโลก แต่ที่ผ่านมามีจุดเริ่มต้นมาจากต้มยำกุ้งก่อนที่จะเกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ตามมา แต่ไม่ได้กระทบกับทั้งโลกเหมือนปัจจุบัน
โดยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้หลังจากที่เกิดเหตุการณ์การแพร่ระบาดแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19 ไม่นาน ก็เกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หลังจากนั้นก็มีสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสตามมา เพราะฉะนั้นจึงหนักหนาสาหัสกว่ากันมาก
ส่วนสนธิสัญญาการค้าระหว่างประเทศของทุกประเทศที่เคยเซ็นร่วมกันไว้ เวลานี้ก็ใช้ไม่ได้ เนื่องจากต่างคนต่างใช้นโยบายการเอาตัวรอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการยกเว้นภาษีขาเข้าที่เคยเอื้ออารีต่อกันปัจจุบันก็แทบจะไม่มีแล้ว
จากประเด็นดังกล่าว "ฐานเศรษฐกิจ" ได้ดำเนินการลงพื้นที่สำรวจความคิดเห็นของประชาชน พบว่าต่างตอบไปในทิศทางเดียวกันว่าเศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อหดหาย
พ่อค้าที่ตลาดเช้าอำเภอบึงบูรพ์ จังหวัดศรีษะเกษ ระบุว่า ปัจจุบันพ่อค้า แม่ค้าที่มาขายของหายไปเยอะมาก ทำให้ตลาดดูเงียบเหงา เนื่องจากผู้ซื้อไม่มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอบ จึงไม่มาเลือกซื้อสินค้าในตลาด จะซื้อเฉพาะสิ่งของที่จำเป็นเท่านั้น
จากสถานการร์ดังกล่าวทำให้พ่อค้า แม่ค้าหลายรายหยุดกิจการ และมาขายบ้างเฉพาะช่วงที่เป็นวันหยุด ซึ่งคาดว่าจะมีคนออกมาซื้อของเพิ่มมากขึ้น
"เวลานี้ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเน้นซื้อเฉพาะสิ่งของที่จำเป็น โดยหากเป็นอาหารก็จะเลือกซื้อวัตถุดิบนำไปปรุงรับประทานเอง ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดกว่าการซื้ออาหารสำเร็จรูป เพราะได้ปริมาณมากกว่า และสามารถรับประทานได้หลายคน หรือหลายมื้อ"
แม่ค้ารายหนึ่งที่ตลาดอำเภออุทุมพรพิสัย ระบุว่า ปัจจุบันมีผู้มาเดินตลาดเพื่อซื้อสินค้าน้อยลงมาก อีกทั้งปริมาณในการซื้อก็ดูลดลงจากที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่บอกว่าต้องการประหยัดเงินในกระเป๋า เพราะเศรษฐกิจไม่ค่อยดี หรือเรียกว่านิ่งสนิท
ผู้บริโภครายหนึ่งที่ตลาดอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ระบุว่า ปกติจะมาเดินตลาดเกือบทุกวันเพื่อหาซื้ออหาหารสำเร็จรูปรับประทาน แต่ในระยะหลังจะเว้นระยะห่างกว่าเดิม เพราะราคาค่าน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และเลือกซื้อวัตถุดิบไปทำอาหารรับประทานเองบ้าง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยซื้อของฟุ่มเฟือยน้อยลง
สอดคล้องกับความคิดเห็นของผู้บริโภคอีกรายที่ตลาดร้อยปี อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งระบุว่า ปัจจุบันมีการประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่าเดิม เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี และดูมีความไม่แน่นอน อีกทั้งยังมีความกังวลเรื่องของหน้าที่การงาน ซึ่งไม่รู้ว่าอาจจะโดนให้ออก หรือบริษัทจะถึงขั้นปิดกิจการหรือไม่
"ทุกวันนี้ก็เลือกซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็น ของที่ฟุ่มเฟือยก็พยายามหลีกเลี่ยง ส่วนของรับประทานที่ไม่สามารถเลือกได้ ก็เน้นอาหารจานเดียว ไม่ค่อยออกไปสังสรรค์กับกล่มเพื่อน หรือรับประทานร้านอาหาร"