นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานคณะกรรมการ (ประธานบอร์ด)การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. ได้ดำเนินกิจกรรมโครงการคลองสวยน้ำใส จิตอาสาพัฒนาคลองแสนแสบขึ้น ที่นิคมอุตสาหกรรมบางชัน เนื่องในมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2567 เป็นครั้งที่ 5
กิจกรรมโครงการจิตอาสาทำความสะอาดคลองแสนแสบ (บริเวณนิคมอุตสาหกรรมบางชัน) ในครั้งนี้ กนอ.ได้ร่วมกับพันธมิตรหน่วยงานราชการ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร สำนักงานเขตคันนายาว สำนักงานเขตมีนบุรี สำนักระบายน้ำ โรงเรียนวัดบำเพ็ญเหนือ วัดบำเพ็ญเหนือ ผู้ประกอบการในนิคมฯบางชัน กว่า 20 โรงงาน และชุมชนรอบนิคมฯ 6 ชุมชน ในการสร้างจิตสำนึก รักษ์สิ่งแวดล้อมคลองแสนแสบ และคลองสาขา
ทั้งนี้นิคมอุตสาหกรรมบางชัน เป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งแรกของ กนอ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินการพัฒนาลำน้ำที่อยู่ติดกับคลองแสนแสบ ดำเนินกิจกรรมฟื้นฟูคลองแสนแสบมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมาจนกระทั่งปี 2567 ด้วยความร่วมมือเป็นอย่างดีจากกลุ่มจิตอาสาพระราชทานคลองแสนแสบภายใต้แผน CSR ของ กนอ. และกิจกรรมดังกล่าว เป็น 1 ในยุทธศาสตร์ 5G ของ กนอ.ด้วย โดย G 1 ที่สำคัญ คือ Green ด้านสิ่งแวดล้อมของชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อสังคม และได้มีการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับแผนแผนงาน ปี 2567 รัฐบาลชุดปัจจุบันมีนโยบายชัดเจน ให้กนอ. เป็นกลไกฟื้นฟูเศรษฐกิจการลงทุนของประเทศหลังสถานการณ์โควิด ซึ่งทาง กนอ.มีความมุ่งมั่นจะเข้าไปฟื้นฟูการลงทุน เศรษฐกิจ ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศ และจะปรับบทบาทเข้าไปพูดกับนักลงทุนร่วมกับผู้ประกอบการนิคมฯ มากกว่าการกำกับดูแล และเปิดพื้นที่ใหม่ ๆ รองรับการลงทุน
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการ การเข้าไปดูแลสาธารณูปโภคต่าง ๆ คำนึงถึงความยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุตสาหกรรมก๊าซเรือนกระจก หรือการหมุนเวียนพลังงานที่ใช้ในนิคมฯ ให้เป็นพลังงานสะอาด เป็นต้น
“เวลานี้เรามีนิคมฯของ กนอ.เองกว่า 14 แห่ง และพยายามเร่งรัดเปิดพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เป้าหมายสำคัญ คือ พลังงานสะอาด ที่มีแนวคิดยกระดับนิคมฯ ในกำกับดูแล ให้เป็นนิคมฯ พลังงานสะอาด ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะส่งผลให้ไทยเป็นนิคมชั้นนำของเอเชียและของโลก”
นอกจากนี้ กนอ. ยังมีแผนพัฒนานิคมฯ ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งทาง กนอ.กำลังประสานกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) โดยมีแนวคิดส่งเสริมผลิตภัณฑ์รอบชุมชน เพื่อให้ความเป็นอยู่และรายได้คนในชุมชนดีขึ้น ยกระดับคุณภาพชีวิต ทำให้เศรษฐกิจติดนิคมฯ มีความแตกต่างจากภาคส่วนอื่น นำมาสู่การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนดีขึ้นได้ และต่อไปนิคมฯ อาจเป็นเป็นสถานที่ UNSEEN ด้านการท่องเที่ยวได้
นายนพ ชูสอน ผู้อำนวยการเขตคันนายาว กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากจิตรอาสาพระราชทานในการร่วมมือทำความดีฟื้นฟูคลองแสนแสบภายใต้การกำกับดูแลนสำนักงานเขตคันนายาวที่มีผู้ว่าฯกทม.มอบหมายนโยบายให้มาที่ต้องการให้ฟื้นฟูคลองแสนแสบ ในส่วนเขตคันนายาวที่เป็นเครือข่ายที่จะดำเนินการฟื้นฟูภายใต้กิจกรรมที่ต้องทำความสะอาดคูคลองจัดเก็บผักตบชวาเพื่อเป็นการเปิดทางน้ำไหลและอีกกิจกรรมที่ทำคือติดตั้งบ่อไขมันทุกครัวเรือนในพื้นที่รัศมีห่างจากคลองแสนแสบ 500 เมตรที่มี 851 ครัวเรือนและปีนี้มีเป้าหมายติดตั้งนำร่องจำนวนกว่า 300 ครัวเรือน จากนั้นจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในครัวเรือนที่เหลือภายใน 1-2 ปี
นายศักดิ์ชัย ใสสุข ผู้อำนวยการเขตมีนบุรี กล่าวว่า ในส่วนเขตมีนบุรี ได้ดำเนินการเช่นเดียวกับสำนักงานเขตคันนายาวที่อยู่ติดกับคลองแสนแสบซึ่งในกทม.อยู่ติดกับคลองทั้งหมด 21 เขตที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและผู้ว่าฯกรุงเทพฯที่ได้รับมอบหมายให้ทุกเขตติดคลองในการดำเนินการแก้ปัญหาฟื้นฟูและพัฒนาคลองโดยเขตมีนบุรีก็จะมีการจัดทำและปรับปรุงภูมิทัศน์ในระยะ 21 กม.ในการแก้ไขปัญหาเน่าเสียจากการปล่อยน้ำทิ้งจากครัวเรือนประชาชนด้วยการควบคุมไม่ให้ประชาชนปล่อยน้ำเน่าเสียลงคลองโดยตรงภายใต้ระบบบำบัดน้ำเน่าเสียด้วยการติดตั้งบ่อบำบัดไขมันโดยตอนนี้สำนักงานเขตมีนบุรีได้ติดตั้งบ่อบำบัดน้ำเสียใกล้จะแล้วเสร็จซึ่งทำให้สามารถควบคุมน้ำเน่าเสียก่อนปล่อยน้ำดีลงแม่น้ำลำคลอง
“ในส่วนเขตมีนบุรีเองก็มีการดำเนินภายใต้การควบคุมในระยะ 500 เมตรเช่นเดียวกับเขตคันนายาวและตอนนี้ภายในนิคมฯบางชันก็ได้มอบหมายให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องลงมาประสานงานตรวจสอบการปล่อยน้ำทิ้งลงคลองแสนแสบโดยผ่านระบบบำบัดน้ำเสียที่มีคุณภาพก่อนปล่อยน้ำลงคลองแสนแสบ
หากโรงงานไหนไม่มีการบำบัดน้ำเสียที่ไม่ได้คุณภาพก็จะหาทางแก้ไขร่วมกันซึ่งหากทุกภาคส่วนร่วมกันในการแก้ไขปัญหาน้ำเสียและสภาพแวดล้อมก็จะทำให้สภาพคลองแสนแสบดีขึ้นซึ่งตอนนี้เตรียมดำเนินการเบื้องต้นจำนวนกว่า 2 พันครัวเรือนที่อยู่ติดคลองสาขาแสนแสบ ในส่วนคลองแสนแสบที่อยู่ติดกับนิคมฯบางชันดำเนินการแล้วประมาณ 700-800 หลังคาเรือนโดยจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงปี 2568 ประมาณ 2 พันกว่าหลังคาเรือน” นายศักดิ์ชัย กล่าว