กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน นายรัฐมนตรี มีข้อสั่งการให้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาตรการป้องกันและปราบปรามธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่นำเข้ามาขายในประเทศไทย
ล่าสุด นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงรายละเอียดหลังการประชุมครม. วันนี้ (13 สิงหาคม 2567) ว่า นอกเหนือจากที่นายกฯ มอบหมายแล้ว ยังมีมาตรการบางอย่าง ซึ่งขณะนี้ได้รับทราบข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ว่า กำลังพิจารณาแนวทางในลักษณะเดียวกับการแก้ไขปัญหาการค้าขายผ่านอี-คอมเมิร์ซของประเทศจีน แต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะนำมาใช้แก้ปัญหาของประเทศไทยด้วยหรือไม่ โดยมีแนวทางดังนี้
"ทั้งสามข้อคือจีนได้ทำ และได้ยินมาว่ากระทรวงพาณิชย์ของไทยกำลังพิจารณาว่าอาจจะต้องนำมาใช้ด้วยหรือไม่ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เคาะ เป็นเพียงข้อมูลเพิ่มเติมเท่านั้น" นายชัย ระบุ
โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า สำหรับข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการออกมาตรการป้องกันและปราบปรามธุรกิจขายสินค้าจากต่างประเทศ ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่นำเข้ามาขายในประเทศไทย ซึ่งได้มอบหมายในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ ได้มอบหมายให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ หารือร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2567 นี้
สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีด้วยกัน 7 หน่วยงาน ประกอบไปด้วย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งทั้งหมดจะต้องออกมาตรการที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม ดังนี้
อย่างไรก็ตาม นายกฯ ยังขอคำนึงถึงข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ และดูแลผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการอย่างสมดุล รวมทั้งหาทางสนับสนุนและพัฒนาให้ผู้ประกอบการ SME ไทยสามารถปรับตัวและแข่งขันได้ และขอให้สรุปข้อหารือ เพื่อนำเสนอต่อ ครม. ภายในเดือนนี้ต่อไป
เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อร้องเรียนจากภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เกี่ยวกับธุรกิจขายสินค้าทางออนไลน์และออฟไลน์จากต่างประเทศได้เข้ามาค้าขายอย่างผิดปกติในประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อโอกาสในการทำธุรกิจของคนไทย