นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิต ในช่วง 11 เดือน ของปีงบประมาณ 2567 สามารถจัดเก็บรายได้รวม 4.8 แสนล้านบาท สูงกว่าปีที่แล้วถึง 10.6% ขณะที่เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.5% แต่เราสามารถทำได้สูงกว่า
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ปรับเป้าประมาณการจัดเก็บรายได้ให้กรม จากการออกมาตรการลดภาษีน้ำมันดีเซล และน้ำมันเบนซิน ช่วงที่ราคาน้ำมันแพง รวมทั้งปรับผลกระทบจากการมาตรการภาษีอีวี เหลือเป้าจัดเก็บรายได้ 5.2 แสนล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าช่วงที่เหลือของปีงบประมาณ 2567 นี้ จะสามารถจัดเก็บภาษีได้ตามเป้าหมายแน่นอน
ขณะที่ภาพรวมการจัดเก็บรายได้ของกรมในปีงบประมาณ 2568 นั้น ยังอยู่ระหว่างรอตัวเลขการจัดเก็บรายได้จากกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการจัดเก็บรายได้ของกรมยังมีความท้าทาย โดยเฉพาะในตลาดยานยนต์ ซึ่งอยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาป ไปสู่อีวี ซึ่งการจัดเก็บภาษีรถยนต์ เป็นอันดับ 2 ของรายได้หลักกรม
อย่างไรก็ดี ตามนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา จากการที่ได้หารือกับผู้ประกอบการก็มีค่ายยักษ์ใหญ่สนใจ ซึ่งจะเป็นส่วนที่สนับสนุนการจัดเก็บรายได้กรม
“เดิมการจัดเก็บภาษีรถยนต์เป็นอันดับ 2 ของกรม รองลงมาจากภาษีน้ำมัน แต่ขณะนี้อันดับตกลงมา ทั้งจากการลดภาษีรถยนต์อีวี และยอดขายรถยนต์ที่ลดลง ถือเป็นความท้าทายของกรมในปีงบประมาณหน้า”
นายเอกนิติ กล่าวว่า กรมได้มีการตั้งการจัดการบริหารแนวใหม่ที่ขับเคลื่อนกรมสรรพสามิต ได้แก่ ตรงเป้า ตรงกลุ่ม และตรงใจ แน่นอนว่า ตรงเป้ากรมสามารถจัดเก็บรายได้ได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน ส่วนตรงกลุ่ม คือ การปราบรามสินค้าได้อย่างตรงกลุ่ม
“กรมได้เน้นเรื่องการปราบปราม พบว่าข้อมูล 11 เดือน กรมปราบปรามสินค้าผิดกฎหมายภาษีสรรพสามิตได้กว่า 3.1 หมื่นคดี เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 27% ขณะเดียวกัน ได้มีการจับบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นถึง 25% และมีเงินนำส่งจากการปราบปรามบุหรี่เถื่อนสูงกว่า 47%”
ส่วนด้านตรงใจนั้น กรมได้นำดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการผู้ประกอบการ และยกระดับดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชัน ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะมีการเปิดตัวเว็บไซต์ใหม่ นำระบบเอไอมาใช้ เช่นเดียวกันกับการปราบปรามก็ได้นำดิจิทัลมาใช้ ซึ่งอำนวยความสะดวกการตรวจสอบสินค้าเถื่อน