“เผ่าภูมิ” จี้ธปท. ลดดอกเบี้ย แก้ “บาทแข็ง” ซัดแทรกแซงเงินบาทยังไม่พอ

01 ต.ค. 2567 | 07:11 น.
อัพเดตล่าสุด :01 ต.ค. 2567 | 07:12 น.

“เผ่าภูมิ โรจนสกุล” รมช.คลัง จี้ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบาย แก้ “เงินบาทแข็งค่า” ชี้เข้าแทรกแซงเงินบาทยังไม่พอ ระบุช่วงนี้ค่าเงินควรอยู่ระดับ 34 บาท/ดอลลาร์

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท ว่า เรื่องของค่าเงินบาทที่ผันผวน การแก้ไขด้วยการแทรกแซงค่าเงินบาทอย่างเดียว มองว่ายังไม่เพียงพอ เนื่องจากเงินบาทแข็งค่ามีต้นตอมาจาก อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเราไม่สอดคล้องกับนโยบายการเงินของประเทศมหาอำนาจ จึงทำให้เงินต่างชาติจากไหลเข้า

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

“มองว่าการแทรกแซงค่าเงินบาท เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุ เพราะต้นตอเป็นต้นตอระยะยาว เนื่องจากส่วนต่างนโยบายทางการเงินมีความแตกต่างกัน ส่วนตัวมองว่า ธปท. ต้องแก้ไขทั้ง 2 อย่าง คือ การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และดูแลค่าเงินบาทเพื่อไม่ให้ผันผวนในระยะสั้น”

นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่เหมาะสมในแต่ละช่วงเวลามีความแตกต่างกัน ต้องดูประเทศคู่ค้า และประเทศเพื่อนบ้าน โดยปัจจุบันจะเห็นว่าค่าเงินบาทไทย แข็งค่าเป็นอันดับที่ 2 ของภูมิภาค ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่แข็งมาก หากเปรียบเทียบระยะเวลานี้ให้เหมาะสมกับประเทศเพื่อนบ้าน มองว่าช่วงนี้ค่าเงินบาทไทยควรอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ส่วนกรณีที่ธปท. ประเมินว่าการส่งออกมีทั้งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ และไม่ได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทนั้น นายเผ่าภูมิ กล่าวว่า จะต้องพยายามรักษาอัตราค่าเงินให้เกาะกลุ่มให้ได้ มิใช่ว่าในวันหนึ่งค่าเงินบาทไทยแข็งค่าเป็นอันดับหนึ่งของภูมิภาค การค้าขายก็จะมีปัญหา

"มองว่าไม่ควรหยิบประเด็นเล็กๆ มาคุย ต้องดูภาพรวมว่าได้รับผลกระทบหรือไม่ เพราะหากค่าเงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศคู่ค้าอื่น สินค้าของเราจะมีความสามารถในการแข่งขันต่ำลง"

ขณะที่ในเรื่องความต่างอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและสินเชื่อนั้น ก็เป็นเรื่องที่ธปท.จะต้องแก้ไข เนื่องจากเป็นความเดือดร้อนของประชาชน และเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้กับธนาคาร โดยที่เข้มแข็งอยู่แล้วก็ควรจะมองมิติการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปล่อยสินเชื่อให้เม็ดเงินในอัตราดอกเบี้ยที่สามารถทำธุรกิจได้ มองว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

ส่วนบทบาทที่กระทรวงการคลังทำได้ในเรื่องดังกล่าว คือ การหารือร่วมกับธปท. ในส่วนของธนาคารพาณิชย์ และเราดูในส่วนของสถาบันการเงินของรัฐ ซึ่งหากเราทำให้แบงก์รัฐช่วยเหลือจุลเจือประชาชนได้มากกว่า ก็จะเป็นจุดกระตุ้นให้ตลาดมีการปรับตัวมากขึ้น หากถามว่าทำได้เต็มไม้เต็มมือหรือไม่ ต้องขอความร่วมมือได้ที่ธปท.

“จะต้องชั่ง 2 มิติ เสมอ คือ ศักยภาพของเศรษฐกิจ และเสถียรภาพของเศรษฐกิจ หากถามว่าตอนนี้ประเทศมีเสถียรภาพทางการเงินหรือไม่ ก็สูงมาก ส่วนประเทศมีศักยภาพทางเศรษฐกิจหรือไม่ ก็ยังไม่เท่าไหร่ ฉะนั้น ต้องมีการจุลเจือให้เกิดความสมดุล”