นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 จนถึงปัจจุบัน มีนิคมฯ ที่ขอจัดตั้งรวมจำนวน 11 นิคมฯ รวมพื้นที่ประมาณ 8,943 ไร่ ประกอบด้วย
ส่วนที่อยู่ระหว่างรอเสนอคณะกรรมการ กนอ. มีทั้งหมด 3 แห่งประกอบด้วย
ทั้งนี้ เมื่อรวมพื้นที่โครงการที่อนุมัติไปแล้วและเตรียมอนุมัติในปี 2567 รวม 14 โครงการ จะมีพื้นที่รองรับการลงทุนรวม 12,000 ไร่ และคาดว่าจะก่อให้เกิดการลงทุนโรงงานประมาณ 480,000 ล้านบาท
สำหรับโครงการที่อนุมัติล่าสุดเป็นนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินการ โครงการนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง (โครงการ 7) ต.เขาคันทรง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พื้นที่ 1,059 ไร่ โดย คณะกรรมการ กนอ.เห็นชอบเมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2567
โดยนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 7 เป็นโครงการที่ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตอุตสาหกรรมบนฐานของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และนวัตกรรม โดยรองรับการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, โลจิสติกส์, อุตสาหกรรมสะอาด
รวมถึงอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ (BOI) และคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)
นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง 7 จะรองรับการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนและสนับสนุนนโยบาย EEC
นายสุจินต์ เรียนวิริยะกิจ กรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯ ร่วมดำเนินงานกับ กนอ.แล้ว 6 โครงการ โดยเมื่อรวมทั้ง 7 โครงการ จะมีพื้นที่ 86,000 ไร่ ซึ่งจะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค 2,205 ล้านบาท และจะก่อให้เกิดมูลค่าการลงทุน 42,360 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 10,560 คน
นายสุรัช พัฒนวงศ์ยืนยง กรรมการบริหาร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปิ่นทอง อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ทำให้เกิดการย้ายฐานการลงทุนมากลุ่มอาเซียนมากขึ้น โดยช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ จีน ไต้หวันและเกาหลี ต่างเข้ามาลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมปิ่นทองมากแบบก้าวกระโดด เพราะจุดเด่นความเป็นไทยเชื้อสายจีนที่สร้างความรู้สึกว่าอยู่เมืองไทยแล้วปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินระยะยาว
โดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้เทียบเวียดนามเรื่องสิทธิประโยชน์อาจเทียบไม่ได้ แต่สิทธิในการถือครองที่ดินในไทย 100% ซื้อขายได้เสรีกว่า เพราะมีกฎหมาย กนอ.ต่างจากเวียดนาม ไต้หวันและจีน ที่เมื่อครบกำหนดต้องคืนให้รัฐบาล