หนี้สาธารณะทั่วโลกกำลังจะทะลุ 100 ล้านล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในปีนี้ และอาจพุ่งสูงขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากกระแสการเมืองที่สนับสนุนการใช้จ่ายของภาครัฐมากขึ้น ประกอบกับเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้ยืมมากขึ้นและแบกรับต้นทุนที่สูงลิ่ว
รายงาน Fiscal Monitor ฉบับล่าสุดของ IMF ชี้ให้เห็นว่า หนี้สาธารณะทั่วโลกจะพุ่งแตะ 93% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ทั่วโลกภายในสิ้นปี 2567 และจะเข้าใกล้ 100% ในปี 2573 ตัวเลขนี้จะสูงกว่าจุดสูงสุดที่ 99% ในช่วงวิกฤตโควิด-19 และเพิ่มขึ้นถึง 10% เมื่อเทียบกับปี 2562 ก่อนที่การระบาดใหญ่จะทำให้รัฐบาลทั่วโลกต้องอัดฉีดเม็ดเงินมหาศาล
คริสตาลินา กอร์เกียวา กรรมการจัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) กล่าวว่า แม้ว่าจะมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัดในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก แต่รัฐบาลต่างๆ กลับคุ้นเคยกับการกู้ยืมเงินมากเกินไป
ดร.นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า ถ้าพิจารณาในกรอบภาพรวมของทั้งระบบเศรษฐกิจ มูลค่าหนี้โดยมากจะถูกวัดโดยมูลค่าที่เป็นตัวเงิน หรือ nominal value ทำให้โดยปกติแล้วการก่อหนี้ที่พิ่มขึ้นไม่เร็วจนเกินไปก็อาจจะไม่ได้มีความเสี่ยงมาก เหมือนกับโดยทั่วไปแล้วรายได้เงินเดือนมักจะขึ้นทุกๆปี นั่นคือ ถ้ารายได้ในภาพรวม หรือ GDP โตได้เร็วกว่าหนี้ก็น่าจะไม่เป็นปัญหา
นั่นคือ ต้องพิจารณาที่สัดส่วนหนี้ต่อรายได้ ถึงจะทราบว่าเศรษฐกิจในภาพรวมเป็นอย่างไร นอกจากนี้ ต้องพิจารณาเรื่องความเหลื่อมล้ำควบคู่ไปด้วยว่าคนที่มูลหนี้เพิ่มนั้นมีรายได้เพิ่มทันตามไปด้วยหรือไม่
ทั้งนี้ ภาพที่น่ากังวลใจ คือ ถ้าหนี้โตเร็วกว่ารายได้ก็จะส่งผลทำให้หมุนเงินมาใช้หนี้ไม่ทัน หรือ ต้องลดการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมโตช้าลง เหมือนเศรษฐกิจโลกเริ่มส่งสัญญาณเติบโตต่ำลงในช่วงหลังโควิด-19 แล้วด้วย
รายงาน Chief Economists Outlook ฉบับล่าสุดของ World Economic Forum พบว่า หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ที่สำรวจเชื่อว่าหนี้สาธารณะเป็นภัยคุกคามต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาคทั้งในเศรษฐกิจขั้นสูง (53%) และเศรษฐกิจกำลังพัฒนา (64%) นอกจากนี้ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์เกือบ 40% คาดว่าการผิดนัดชำระหนี้จะเพิ่มขึ้นในเศรษฐกิจกำลังพัฒนาภายในปีหน้า
รายงานระบุว่า เมื่อมองไปที่ปีหน้า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ระบุว่าพลวัตของหนี้สินในปัจจุบันจะบั่นทอนความพยายามของรัฐบาลที่จะกระตุ้นการเติบโต และทำให้ประเทศต่างๆ เตรียมตัวรับมือกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งต่อไปได้ไม่ดีนัก พร้อมทั้งเสริมว่า สถานะทางการเงินที่ยากลำบากที่หลายประเทศเผชิญอยู่นั้น หมายความว่า ประเทศเหล่านั้นน่าจะดิ้นรนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมากมายที่กำลังเกิดขึ้น รวมถึงการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน การเปลี่ยนแปลงทางประชากร และความต้องการด้านความมั่นคงของชาติที่เปลี่ยนไป
เพื่อให้เข้าใจพลวัตของหนี้ในปัจจุบัน ฟอรัมเศรษฐกิจโลกได้ให้หัวหน้ากลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ ผลกระทบของแนวโน้มหนี้สาธารณะ และให้รายละเอียดว่าแรงกดดันทางการคลังที่อาจเกิดขึ้นนั้นส่งผลต่อรัฐบาล ธุรกิจ และครัวเรือนอย่างไร พร้อมข้อเสนอเเนะ
สัญญาณเตือนจากประเทศกำลังพัฒนา
แม้การเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกจะเริ่มมีเสถียรภาพ อัตราเงินเฟ้อลดลง และอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวลง แต่ปัญหาที่สั่งสมมากว่าทศวรรษยังคงอยู่ โดยเฉพาะหนี้สินในประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในระดับวิกฤต ส่งผลให้ การลงทุนลดลง ทรัพยากรถูกดึงออกจากความต้องการจำเป็นด้านสุขภาพและการศึกษา
หนี้รวมในประเทศกำลังพัฒนาพุ่งสูงถึง 206% ของ GDP เมื่อสิ้นปี 2023 ต้นทุนการจัดหาเงินทุนยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิด ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของสหรัฐฯ คาดว่าจะอยู่ที่ 1.5% ในปี 2025-26 เพิ่มขึ้นจาก -1.2% ในช่วง 2010-2019
ปัจจุบัน หนี้ของประเทศกำลังพัฒนาเกือบ 2 ใน 3 ประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รัฐบาลในประเทศตลาดเกิดใหม่หลายแห่งกู้เงินในประเทศ เพื่อปกป้องการเงินของรัฐจากความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและผลกระทบ
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกำลังสร้างความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจและสังคม โดย รัฐบาลจะมีบทบาทมากขึ้นในระบบเศรษฐกิจ ระดับหนี้จะสูงขึ้นกว่าในอดีต ความขัดแย้งทางการเมืองท้าทายความยั่งยืนทางการคลัง ความเสี่ยงทางการเมืองอาจทำให้การจัดสรรค่าใช้จ่ายของรัฐบาลผิดพลาด ทำให้ประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจลดลงในช่วงที่งบประมาณขยายตัว
บทบาทของ AI และการฟื้นตัว
แม้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้น แต่ยังมีความท้าทาย เช่น การใช้จ่ายของรัฐบาลยังสูงกว่าระดับก่อนโควิด หลายประเทศยังพบความยากลำบากในการกลับมาเติบโต เเม้เเต่ในสถานการณ์ที่ AI อาจช่วยเพิ่มการเติบโตได้มากกว่า 1% ต่อปีใน 15 ปีข้างหน้า
ประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศยังคงต้องมีงบประมาณที่สมดุลเกือบหมดเพื่อให้อัตราส่วนหนี้กลับมาเท่ากับก่อนเกิดโรคระบาด ประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศยังต้องมีเงินเกินดุลด้วยซ้ำ และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่ความต้องการในการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรและการเปลี่ยนผ่านสู่สีเขียว
ด้วยศักยภาพในการทำให้ระบบอัตโนมัติหรือเพิ่มชั่วโมงการทำงานของบริการสาธารณะได้ถึง 42% AI สามารถช่วยให้รัฐบาลใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดมากขึ้น เพื่อให้หนี้มีความยั่งยืน กลยุทธ์ทางการคลังอาจให้ความสำคัญกับการกู้ยืมเงินเพื่อการลงทุนที่มีประสิทธิผลซึ่งส่งเสริมผลผลิตที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการเติบโตในระยะยาว ความร่วมมือระดับโลกจะเป็นกุญแจสำคัญในการขยายขนาดนวัตกรรมเหล่านี้และลดต้นทุน