กูรูชี้ PRIME เสี่ยงผิดนัดหนี้หุ้นกู้ปี 68 กำไรติดลบ เงินสดในมืออ่อนแอ

16 ต.ค. 2567 | 08:25 น.
อัปเดตล่าสุด :16 ต.ค. 2567 | 08:25 น.

กูรูมอง PRIME ถูก Z.com บังคับขายหุ้นทอดตลาด อาจซ้ำรอยฉุดราคาหุ้น เสี่ยงบานปลายกระทบสภาพคล่อง แม้กำไรสะสม-เงินสดในมือมีพอชำระคืน โบรกมองมีความเสี่ยงผิดนัดชำระ หรือเลื่อนกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้

กรณีเมื่อวันที่ 11 ต.ค.67 บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ออกประกาศขายทอดตลาดหุ้น "บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)" หรือ PRIME หลังผู้ถือหุ้น 6 ราย ติดจำนำหุ้นกับทางบริษัท รวม 7 รายการ จำนวน 1,348,572,500 หุ้น คิดเป็น 31.70% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ PRIME โดยจะขายทอดตลาดหุ้น ในวันที่ 4 ธ.ค.67

ทาง Z.com ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า ราคาเริ่มต้นผู้ขายทอดตลาด (Z.com) จะกำหนดราคาเริ่มต้นการขายหุ้น PRIME ตามที่เห็นสมควร โดยคำนึงถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ราคาซื้อขายในท้องตลาด รวมถึงความเหมาะสมประการอื่นๆ

จากนั้น นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME ได้ออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าวว่า การขายทอดตลาดของหุ้นดังกล่าว เป็นเรื่องการบริหารจัดการทรัพย์สินและหนี้สินส่วนบุคคลของผู้ถือหุ้นบางราย

นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไพร์ม โรด เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIME

"ซึ่งเป็นเรื่องส่วนบุคคลของผู้ถือหุ้น และไม่เกี่ยวกับการดำเนินงาน หรือสถานะทางการเงินของบริษัทแต่อย่างใด โดยบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจได้ตามปกติและมุ่งมั่นสู่การบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่วางไว้" 

ดังนั้น ขอให้ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจแก่บริษัทว่า บริษัทยังดำเนินธุรกิจตามแผนธุรกิจที่บริษัทได้วางไว้ เพื่อประโยชน์ของผู้มีส่วนได้เสียทุกราย และปฎิบัติตามแนวทางการกำกับดูแลกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียน

อย่างไรก็ตาม เรื่องที่น่ากังวลคือ ประเด็นที่เกิดขึ้นกับ PRIME อาจซ้ำรอย เพราะการ "บังคับ" ขายหุ้น ในจำนวนที่มากถึง 31.70% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ PRIME ในครั้งนี้ จะมีผลกระทบต่อราคาในตลาดที่ปรับตัวลดลง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเกิดความเสี่ยงต่อนักลงทุนรายย่อยที่ถือหุ้นอยู่

รวมถึงอาจกลายเป็นเรื่องบานปลายลุกลามไปถึงสภาพคล่องของธุรกิจ ตลอดจนความสามารถในการชำระคืนหุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนด

ทั้งนี้จากการเทียบข้อมูลสถิติราคาหุ้น PRIME ย้อนหลัง ราคาหุ้นเคยดีดตัวขึ้นไปทำจุดสุดสุดที่ระดับ 2.96 บาท ในวันที่ 6 พ.ค.64 ต่อมาราคาหุ้นก็ไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งร่วงลงไปทำจุดต่ำที่สุดที่ระดับ 0.19 บาท ในวันที่ 23 ส.ค.67

สำหรับราคาหุ้น PRIME ล่าสุด 16 ต.ค.67 ณ เวลา 12.54 น. อยู่ที่ระดับ 0.23 บาท มีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่เพียง 1.66 ล้านบาท ด้วยปริมาณการซื้อขายหุ้นจำนวน 7.40 ล้านหุ้น ปัจจุบันมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) อยู่ที่ ลดลงเหลือ 978.53 ล้านบาท มีจำนวนหุ้นจดทะเบียน 4,254.49 ล้านหุ้น

เปิดงบย้อนหลัง 3 ปี PRIME

จากการย้อนดูผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2564-2566) พบว่า

  • บริษัทรายได้รวมอยู่ที่ 594.68 ล้านบาท, 1,136.54 ล้านบาท และ 1,656.47 ล้านบาท
  • บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 130.08 ล้านบาท, 137.07 ล้านบาท  และ -901.64 ล้านบาท

ขณะที่กำไรสะสมอยู่ที่ 2,441.98 ล้านบาท, 2,579.05 ล้านบาท และ 1,931.09 ล้านบาท ด้านเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 288.34 ล้านบาท, 1,087.00 ล้านบาท และ 285.52 ล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกปี 2567 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 595.71 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ทำได้ 904.34 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ -8.17 ล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ทำได้ 81.48 ล้านบาท

ขณะที่กำไรสะสมอยู่ที่ 1,922.92 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 2,660.53 ล้านบาท ส่วนเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอยู่ที่ 189.08 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบช่วงเดียวกันในปีก่อนที่ 268.17 ล้านบาท

จากการตรวจสอบข้อมูลหุ้นกู้ PRIME ที่จะครบกำหนดชำระในปี 68 พบว่า มีทั้งหมด 4 รุ่น วงเงินรวม 2,049.5 ล้านบาท ประกอบด้วย

  • PRIME253A วงเงิน 1,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5.00% ครบกำหนด 10 มี.ค.68
  • PRIME253B วงเงิน  78.90 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5.95% ครบกำหนด 8 มี.ค.68
  • PRIME25DA วงเงิน 849.50 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5.20% ครบกำหนด 2 ธ.ค.68
  • PRIME25DB วงเงิน  121.10 ล้านบาท ดอกเบี้ย 5.20% ครบกำหนด 8 ธ.ค.68

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า PRIME จะยังมีกำไรสะสมอยู่ในมือ 1,922.92 ล้านบาท รวมถึงยังมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดอีก 189.08 ล้านบาท อาจเพียงพอต่อการชำระคือหุ้นกู้ในปี 68 ที่กำลังจะทยอยครบกำหนดไถ่ถอน แต่อาจกระทบไปถึงสภาพคล่องของธุรกิจ

เสี่ยงผิดนัดชำระหุ้นกู้ ปี68

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด (Liberator) ให้ความคิดเห็นว่า ประเด็นในเรื่องของความสามารถในการชำระคืนหุ้นกู้ที่กำลังจะครบกำหนดของ PRIME นั้น ก็อาจต้องไปดูว่าการดำเนินธุรกิจทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน เพราะหากว่าการสร้างรายได้ หรือกำไรที่ยังทำได้ไม่ดี อาจแสดงให้เห็นว่าบริษัทกำลังตกอยู่ในสภาวะเงินตึงมือ

เพราะหากว่างบดุล (Balance Sheet) หรือ รายการทางการเงินที่แสดงฐานะทางการเงินของบริษัทว่ามี “สินทรัพย์” หรือความมั่งคั่งเท่าไร และอยู่ในรูปสินทรัพย์ได้บ้าง จะเป็นตัวสะท้อนว่าบริษัทจดทะเบียนมีความแข็งแรงทางการเงินแค่ไหน

ด้วยสถานะทางการเงินของ PRIME ในขณะนี้ เท่าที่ประเมินคร่าวๆ ก็มองว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีการผิดนัดชำระ หรือเลื่อนกำหนดการจ่ายคืนหุ้นกู้ แต่อย่างไรก็ดี ก็ยังคงมีวิธีการ และมีแหล่งเงินที่จะระดมทุนมาเพื่อชำระหุ้นกู้ได้ อีกหลายทาง ซึ่งก็คงต้องรอดูการแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ของ PRIME ต่อไป

พบ "พิรุณ ชินวัตร"ถือหุ้น 0.78% 

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลผู้ถือหุ้น PRIME จากการปิดสมุดบัญชีล่าสุด ณ วันที่ 26 มี.ค. 2567 พบว่า มีรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ 19 อันดับสูงสุด ได้แก่

  1. นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ จำนวน 991,257,118 หุ้น สัดส่วน 23.30%
  2. บริษัท ไพร์ม โร้ด แคปปิตอล  จำกัด จำนวน 672,180,000 หุ้น สัดส่วน 15.80%
  3. นางสาวภริษา ฉายาวสันต์ จำนวน 615,064,275 หุ้น สัดส่วน 14.46%
  4. Prime Road Tech Inter Limited จำนวน 395,131,972 หุ้น สัดส่วน 9.29%
  5. บริษัท อิมแพ็ค กรีน ยูทิลิตี้ โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 178,062,925 หุ้น สัดส่วน 4.19%
  6. นางสาวสุกัลยา ผาลี จำนวน 147,758,309 หุ้น สัดส่วน 3.47%
  7. นางเครือวัลย์ ไตรสวัสดิ์วงศ์ จำนวน 86,255,500 หุ้น สัดส่วน 2.03%
  8. นายกฤษน์ ศรีชวาลา จำนวน 77,703,933 หุ้น สัดส่วน 1.83%
  9. BANK JULIUS BAER & CO. LTD, SINGAPORE จำนวน 66,690,000 หุ้น สัดส่วน 1.57%
  10. UOB KAY HIAN PRIVATE LIMITED จำนวน 55,000,011 หุ้น สัดส่วน 1.29%
  11. นายสุรเชษฐ์ ชัยปัทมานนท์ จำนวน 54,355,078 หุ้น สัดส่วน 1.28%
  12. นาย วิทยา ศรีสวรรค์ชวาลา จำนวน 53,650,300 หุ้น สัดส่วน 1.26%
  13. DBS BANK LTD. AC DBS NOMINEES-PB CLIENTS จำนวน 48,207,315 หุ้น สัดส่วน 1.13%
  14. บริษัท ฟีน่า แอสเซ็ท จำกัด จำนวน 38,045,883 หุ้น สัดส่วน 0.89%
  15. นายพิรุณ ชินวัตร จำนวน 33,311,100 หุ้น สัดส่วน 0.78%
  16. นางพิมพ์ลดา พิพัฒน์ปากรณ์ จำนวน 33,178,800 หุ้น สัดส่วน 0.78%
  17. นางสาวณุวภา วิทูรชวลิตวงษ์ จำนวน 32,700,000 หุ้น สัดส่วน 0.77%
  18. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวน 29,414,220 หุ้น สัดส่วน 0.69%
  19. นายอมร ศรีชวาลา จำนวน 26,620,300 หุ้น สัดส่วน 0.63%

"นายพิรุณ ชินวัตร เป็นบุตรชายนายพายัพ ชินวัตร อดีตส.ส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย น้องชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี"