นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ไทยเราตกอยู่ในสภาพที่เศรษฐกิจค่อนข้างต่ำ มายาวนาน 20 ปี และในช่วง 10 ปีหลังนั้น ค่อนข้างต่ำ เฉลี่ยรวมการเติบโตเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ขยายตัว 10% เท่านั้น ทั้งนี้ คาดว่าจีดีพีปี 2567 จะอยู่ที่ 2.7% ซึ่งเราเคยประเมินว่าจะขยายตัวได้มากกว่านี้ แต่มีเรื่องของสถานการณ์น้ำท่วมเข้ามาแทรก
ส่วนปี 2568 นั้น ประเมินว่าการเติบโตของจีดีพี จะอยู่ที่ 3% อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าอยากจะเห็น การเติบโตที่ 3.5% ต่อปี เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างผู้บริโภค ที่ต้องการของถูก กับผู้ผลิตที่อยากเห็นราคาที่เป็นธรรม ซึ่งนี่คือ การพูดถึงเรื่องเงินเฟ้อ อยากจะเห็นในระดับที่เหมาะสม มองว่าอัตราเงินเฟ้อขั้นต่ำควรจะขยายตัวอยู่ที่ 2% ต่อปี ส่วนประเทศที่อยากจะเติบโต เงินเฟ้อก็ควรจะอยู่ 2.5% ต่อปี
ขณะที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภาคการผลิตของไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอีถดถอยลง บางช่วงการใช้กำลังการผลิตเคยลงไปต่ำถึงระดับ 50 % เท่านั้น ขณะที่ราคาสินค้าก็ถูกลงด้วย
“เราจะเลือกอย่างไร จะเลือกแบบที่ราคาสินค้าถูก แต่เราไม่มีเงิน หรือมีเงินน้อย หรือจะเลือกว่าราคาสินค้าแพงขึ้น แต่เราก็มีเงินมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม คิดว่าวิธีแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจตรงนี้ คือการพยายามทำให้เศรษฐกิจขยายตัว แทนที่จะเป็นการรัดเข็มขัด“
สำหรับการจะผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูงขึ้น จำเป็นต้องผลักดันการลงทุนในประเทศ ซึ่งสภาพคล่องภายในประเทศมีเพียงพอที่จะสนับสนุนการลงทุน แต่การลงทุนในช่วงที่ผ่านมายังอยู่ในระดับต่ำ เรากลายเป็นประเทศที่ฐานะดีแต่การลงทุนน้อย แต่จะเป็นเศรษฐีที่ไม่มีอนาคต
ทั้งนี้ ทิศทางการลงทุนของไทยต้องสอดคล้องกับทิศทางของโลก คือ การลงทุนใน Digital Economy และ Green Economy รวมถึงการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะของคน ซึ่งปัจจุบัน Ranking ของไทยด้านการศึกษา ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
นายพิชัย กล่าวว่า ในช่วงปี 2566-2567 การลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่นับรวมตั้งแต่การยื่นขอ BOI และส่วนที่ได้รับอนุมัติแล้ว มีมูลค่าลงทุนรวมกันถึง 2 ล้านล้านบาท ถือว่าสูงสุดในรอบ 10 ปี
ส่วนนโยบายส่งเสริมการลงทุนหนึ่งที่รัฐบาลชุดนี้จะผลักดันคือ การสนับสนุนการใช้กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ และการขยายการเช่าที่ดินให้ยาวนานถึง 99 ปี แทนที่จะเป็น 30 ปีแบบในปัจจุบัน เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจในการลงทุนที่ยาวนานเพียงพอที่จะคุ้มค่าต่อการลงทุน รวมถึงสามารถได้สิทธิการใช้ที่ดิน ตามกฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ ที่ทำให้ต่างชาติ สามารถขายสิทธิ์ หรือนำสิทธิ์นั้นไปเป็นหลักประกันการกู้จากสถาบันการเงิน
ขณะที่กรณีที่เอกชนไทยอยากจะขายที่ดินให้กับต่างชาติ ก็สามารถทำได้ แต่จะใช้แนวทางที่เอกชนจะต้องยกที่ดินนั้นให้แก่รัฐก่อน ทำให้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของรัฐ แล้วใช้กฎหมายทรัพย์อิงสิทธิ์ เพื่อให้ต่างชาติมีสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์ในที่ดิน ในสัญญาการเช่ายาวนาน 99 ปี
นอกจากนี้ การผลักดันการลงทุนจำเป็นต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน Logistic ซึ่งปัจจุบันต้นทุน logistic ของไทยสูงถึง 18 % ของ GDP ซึ่งโครงการ Logistic ที่สำคัญคือ โครงการ Land Bridge ทำให้ไทยเป็น Hub ด้านการขนส่งของสองฝั่งมหาสมุทร โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าจากจีนที่ผ่านช่องทางนี้จะช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งลงได้