ลุ้นราคาทองคำ พุ่งแตะ 3,000 ดอลลาร์ สิ้นปี 68

18 พ.ย. 2567 | 08:17 น.
อัปเดตล่าสุด :18 พ.ย. 2567 | 08:17 น.

โกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ราคาทองคำ 3,000 ดอลลาร์/ออนซ์ ภายในเดือน ธ.ค. 2568 จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากธนาคารกลาง การไหลเข้าของกองทุน ETF จากเฟดลดดอกเบี้ย

ราคาทองคำจะพุ่งสูงสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีหน้า จากการซื้อของธนาคารกลางและการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ตามรายงานของ Goldman Sachs Group Inc. ซึ่งจัดให้ทองคำเป็นหนึ่งในสินค้าโภคภัณฑ์ที่น่าลงทุนที่สุดสำหรับปี 2568 และ ระบุว่าราคาอาจปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องในช่วงการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์

"เลือกลงทุนในทองคำ" นักวิเคราะห์กล่าวในบันทึก โดยยืนยันเป้าหมายราคาที่ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายใน ธันวาคม ปี 2568 ปัจจัยขับเคลื่อนเชิงโครงสร้างของการคาดการณ์นี้คือความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากธนาคารกลาง การไหลเข้าของกองทุน ETF เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย

ทองคำได้แสดงการปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งในปีนี้ ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ก่อนที่จะชะลอตัวลงในช่วงหลังจากชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในทำเนียบขาว ซึ่งช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ การปรับตัวขึ้นของสินค้าโภคภัณฑ์นี้ได้รับแรงหนุนจากการซื้อที่เพิ่มขึ้นของภาครัฐ และการปรับนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ  Fed ไปสู่ทิศทางที่ผ่อนคลายมากขึ้น Goldman ระบุว่าการบริหารงานของทรัมป์อาจช่วยหนุนราคาทองคำด้วย

การยกระดับความตึงเครียดทางการค้าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอาจทำให้เกิดการเก็งกำไรในทองคำ นอกจากนี้ ความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ อาจช่วยหนุนราคาด้วย โดยระบุว่าธนาคารกลาง  โดยเฉพาะธนาคารที่ถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวนมาก อาจเลือกที่จะซื้อทองคำเพิ่มขึ้น

ราคาทองคำในตลาดสปอตล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 2,584 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากที่ทำจุดสูงสุดเหนือ 2,790 ดอลลาร์เมื่อเดือนที่แล้ว

น้ำมันดิบเบรนท์คาดซื้อขาย 70-85 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีหน้า

แม้ว่าจะมีความเสี่ยงที่ราคาจะปรับตัวสูงขึ้นในระยะใกล้หากรัฐบาลทรัมป์เข้มงวดกับการส่งออกจากอิหร่าน เเต่โลหะพื้นฐานได้รับความนิยมมากกว่าโลหะกลุ่มเหล็ก และก๊าซในยุโรปเผชิญความเสี่ยงด้านราคาที่อาจปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้นจากสภาพอากาศ

สำหรับสินค้าเกษตร Goldman ได้ประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ การเพิ่มภาษีของจีนต่อสินค้าเกษตรและเนื้อสัตว์ของสหรัฐฯ อาจลดความต้องการนำเข้าจากสหรัฐฯ เนื่องจากตลาดส่งออกทางเลือกไม่เพียงพอ การปรับสมดุลตลาดสหรัฐฯ จะต้องใช้ราคาถั่วเหลือง ข้าวโพด เนื้อสัตว์ที่ต่ำลง

อ้างอิงข้อมูล