สศช.เตือนรัฐบาลรับมือนโยบาย “โดนัลด์ ทรัมป์” กระทบตลาดเงินผันผวน

19 พ.ย. 2567 | 23:29 น.

สศช. แจ้งนายกฯ ในครม. ขอให้รัฐบาลเตรียมความพร้อมรับมือนโยบายว่าที่ประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” คาดมาตรการกีดกันการค้ากระทบอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดเงินตลาดทุนเกิดความผันผวนเกิดความผันผวน

แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ผ่านมา ได้หารือถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจของไทยจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แจ้งต่อที่ประชุมว่า จากนี้ไปจะต้องเกาะติดมาตรการกีดกันการค้าอย่างใกล้ชิด อาจกระทบอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดเงินตลาดทุนเกิดความผันผวน

ทั้งนี้ที่ผ่านมา สศช. ได้จัดทำข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของตลาดเงินตลาดทุนหลังการประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ประกาศชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2567 ตามเวลาในประเทศไทย ส่งผลถึงดัชนีดอลลาร์ สรอ. (DXY) แข็งค่าขึ้นร้อยละ 1.6 และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อ้างอิงอายุ 10 ปีปรับเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 3.8 

ขณะที่ราคาสินทรัพย์สำคัญ ๆ อาทิ ดัชนี Dow Jones ดัชนี S&P 500 ดัชนี Nasdaq ดัชนี Russell 2000 และ Bitcoinปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นทันที เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่าจะได้รับผลบวกจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ เช่น การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลการขยายเวลาการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ การลดความเข้มงวดในการกำกับดูแลภาคการเงินในสหรัฐฯ และการสนับสนุนเงินดิจิทัล เป็นต้น 

อย่างไรก็ดี นโยบายดังกล่าวมีแนวโน้มจะสร้างแรงกดดันเงินเฟ้อให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ช้าลงกว่าที่เคยได้คาดการณ์ไว้ ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อสินทรัพย์ของกลุ่มประเทศในภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่ในฐานะสินทรัพย์เสี่ยงและผู้ส่งออกสุทธิไปยังสหรัฐฯ
 

ทั้งนี้จากข้อมูล ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 หรือ 2 วันหลังจากการประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศในภูมิภาค อาทิ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงจากวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 โดยเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงร้อยละ 1.1

ขณะเดียวกัน ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของหลายประเทศในภูมิภาคปรับตัวลดลง อาทิ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฮ่องกง และเกาหลีใต้ โดยดัชนี SET Index ของไทย ลดลงร้อยละ 1.2 ขณะที่ดัชนีหลักทรัพย์ของ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และ มาเลเซีย ปรับตัวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม สศช. ประเมินว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อตลาดเงินและตลาดทุนดังกล่าวเป็นการตอบรับของนักลงทุนตามนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้เคยหาเสียงไว้ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง

ดังนั้นในระยะต่อไปจึงจำเป็นจะต้องติดตามความชัดเจนทั้งระดับความเข้มข้นและช่วงเวลาของการดำเนินนโยบายในด้านต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดเงินตลาดทุนโลก โดยเฉพาะค่าเงินและตลาดหลักทรัพย์ของกลุ่มประเทศในภูมิภาคด้วย