เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 งานประกวด “รางวัลข่าวดิจิทัลยอดเยี่ยม ประจำปี 2567” (Digital News Excellence Awards 2024) ที่จัดขึ้นโดยสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ (SONP) ได้เปิดเวทีเสวนาภายใต้หัวข้อ “Thailand Digital Newsroom 2025” โดยมีนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญในวงการสื่อดิจิทัลร่วมอภิปรายถึงอนาคตของห้องข่าวดิจิทัลไทย รวมถึงความท้าทายและแนวทางในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของอุตสาหกรรมข่าว
รศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล นักวิจัยจากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมอภิปราย ได้กล่าวถึงมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับทิศทางของวงการข่าวไทยในปี 2025 ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทั้งจากปัจจัยในประเทศและระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความผันผวนด้านเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง
รศ.พิจิตราเริ่มต้นด้วยการกล่าวว่า วงการข่าวไทยในปัจจุบันกำลังเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ เธอชี้ว่า ปี 2025 จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับอุตสาหกรรมข่าวในไทย โดยเฉพาะเมื่อผู้บริโภคคุ้นเคยกับการเสพข่าวสารออนไลน์ฟรี ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ขององค์กรข่าวที่พึ่งพาโฆษณาเป็นหลัก
“บิสซิเนสโมเดลของข่าวไทยในตอนนี้เป็นแบบ 'ดูฟรี' ซึ่งทำให้การกลับไปสู่รูปแบบที่ผู้บริโภคต้องจ่ายเงินเพื่อเสพเนื้อหากลายเป็นเรื่องยาก การพึ่งพาโฆษณาก็ไม่เพียงพอ เพราะรายได้จากโฆษณาออนไลน์แตกกระจายไปยังคู่แข่งรายใหม่ ๆ เช่น อินฟลูเอนเซอร์ และคอนเทนต์ที่ไม่ใช่ข่าว”
รศ.พิจิตรากล่าวต่อว่า องค์กรข่าวขนาดใหญ่หลายแห่งอาจลดบทบาทลง และจำนวนองค์กรข่าวดั้งเดิมที่สามารถอยู่รอดได้จะน้อยลงกว่าเดิม ทิศทางในอนาคตของวงการสื่อดิจิทัลจะมุ่งไปสู่การพัฒนาเนื้อหาที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ หรือ "niche audience" เช่น ข่าวเชิงนโยบายหรือข่าววิเคราะห์
หนึ่งในแนวทางสำคัญที่รศ.พิจิตราเน้นย้ำคือ การปรับตัวในแง่ของรูปแบบการนำเสนอข่าว โดยเฉพาะการใช้ “คลิปสั้น” ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งต้องการเนื้อหาที่กระชับ รวดเร็ว แต่ยังคงคุณภาพสูง
เธอยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “คอนเทนต์ข่าวในอนาคตจะต้องมีการวิเคราะห์เชิงลึก (analytical content) และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ (opinion-based content) ซึ่งจะสร้างมูลค่าให้กับวงการข่าวและช่วยให้องค์กรข่าวขนาดเล็กสามารถแข่งขันได้ในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว”
นอกจากนี้ รศ.พิจิตรายังชี้ให้เห็นว่าความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจจากผู้อ่านเป็นหัวใจสำคัญของข่าวในยุคดิจิทัล แม้ว่าสื่อบันเทิงจะได้รับความนิยมจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่เนื้อหาข่าวที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพานักข่าวไทย ซึ่งทำให้วงการข่าวไทยมีโอกาสรอดอยู่บ้าง
“คนไทยยังต้องพึ่งพาข่าวไทย เพราะไม่มีชาติอื่นที่จะทำข่าวไทยแทนเราได้ แต่การอยู่รอดไม่ได้หมายถึงความรุ่งเรืองเหมือนในอดีต องค์กรข่าวต้องพัฒนาเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”
รศ.พิจิตรากล่าวถึงบทบาทของรัฐที่ควรเข้ามาสนับสนุนอุตสาหกรรมข่าว โดยชี้ว่าข่าวเป็น “สินค้าสาธารณะ” (public good) ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาสังคมในระยะยาว เธอแนะนำให้รัฐพิจารณาลดหย่อนภาษีสำหรับองค์กรข่าว หรือจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนเนื้อหาข่าวคุณภาพ
เธอยังเสนอแนวทางใหม่ ๆ สำหรับโมเดลธุรกิจขององค์กรข่าว เช่น การสร้างรายได้จากลิขสิทธิ์ (copyright) การขายคลังภาพถ่าย หรือการทำความร่วมมือกับแบรนด์ในลักษณะที่แยกออกจากเนื้อหาข่าวสำคัญ เช่น ข่าวเศรษฐกิจและข่าวการเมือง
“การสร้างความน่าเชื่อถือในเนื้อหาข่าวจะช่วยดึงดูดแบรนด์ให้เข้ามาร่วมงานกับเรา และช่วยสร้างรายได้ที่ยั่งยืนสำหรับองค์กรข่าว”
นอกจากนั้น รศ.พิจิตรา ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการพัฒนาประเภทข่าวที่ยังขาดแคลนในปัจจุบัน เช่น ข่าวเศรษฐกิจเชิงนโยบายที่เชื่อมโยงกับภาพรวมเศรษฐกิจมหภาค และข่าวต่างประเทศที่ช่วยเพิ่มมุมมองให้กับผู้อ่านชาวไทย
“ข่าวเศรษฐกิจและข่าวต่างประเทศเป็นสองหมวดที่มีศักยภาพสูงในการตอบสนองกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ และสามารถสร้างความแตกต่างให้กับองค์กรข่าวที่พัฒนาเนื้อหาในแนวทางนี้ได้”
รศ.พิจิตรา ทิ้งท้ายว่า แม้วงการข่าวไทยจะเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ แต่การเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2025 ยังเป็นโอกาสสำคัญที่อุตสาหกรรมข่าวสามารถปรับตัวและสร้างอนาคตใหม่ที่แข็งแกร่งได้
“ข่าวคุณภาพและความโปร่งใสยังคงเป็นหัวใจสำคัญ และการปรับตัวในเชิงธุรกิจจะช่วยให้องค์กรข่าวสามารถอยู่รอดและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
งานเสวนาในครั้งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับอนาคตของวงการข่าวไทยในยุคดิจิทัล และสะท้อนถึงความจำเป็นของการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้บริโภคในการผลักดันอุตสาหกรรมข่าวไทยให้ก้าวหน้าและยั่งยืนต่อไปในอนาคต.