นายณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในไตรมาส 4 นี้บริษัทเตรียมทุ่มงบการตลาดราว 500 ล้านบาท สำหรับจัดกิจกรรมการตลาดหรืออีเว้นท์รวม 700 งาน โดยเป็นซิกเนเจอร์อีเว้นท์ กว่า 100 งาน อาทิ งานเปิดไฟต้นคริสมาส, งาน Countdown @เซ็นทรัลเวิลด์, วันพ่อ ฯลฯ
เชื่อว่าจะช่วยสร้างบรรยากาศในช่วงปลายปีให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งนักท่องเที่ยวไทย-ต่างชาติ หลังสถานการณ์ต่างๆ ทั้งระดับประเทศ และระดับโลกเริ่มกลับมาคลี่คลาย โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลมีอีเว้นท์ทั้งปี ที่เป็น Festive landmark ของทุกเทศกาล ในทุกจังหวัดที่ตั้งอยู่ ทั้งนี้คาดว่าจะทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์เพิ่ม 30 % เท่ากับปี 2562
“ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของไทยกำลังก้าวสู่เศรษฐกิจขาเปิดเมือง ที่ทุกอย่างกำลังดีขึ้น ได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเยือนต่อเนื่อง คาดเป็นไปตามเป้า ททท. ที่ 10 ล้านคน หรืออาจมากกว่า ดังนั้นทุกส่วนต้องมีการปรับตัว เพราะอาจมีสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ เช่น เงินเฟ้อ ภัยพิบัติต่างๆ ฯลฯ ภาพรวมบรรยากาศคึกคัก มีการจับจ่ายมากขึ้นจากหลายปัจจัย ที่ผู้คนเตรียมตัวออกไปเที่ยวและใช้ชีวิตมากขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขทราฟฟิกของศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศที่กลับมาแล้วกว่า 90-100%”
ด้าน นางสาววรลักษณ์ ตุลาภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของหลายธุรกิจ รวมถึงธุรกิจค้าปลีกด้วย ซึ่งในช่วงไฮซีซั่นนี้ ถือเป็นช่วงเวลาแห่งเทศกาล การจับจ่ายซื้อสินค้า ดังนั้นค้าปลีกเองต้องจัดกิจกรรมการตลาดหรืออีเว้นท์ต่างๆ ขึ้นมารองรับโดยไตรมาสนี้บริษัทเตรียมงบการตลาด 300-400 ล้านบาท สำหรับจัดอีเว้นท์กว่า 200 งาน โดยมีทั้งที่บริษัทเป็นผู้จัดเองและอีเว้นท์ที่ผู้ประกอบการอื่นๆ จัดขึ้น
“ภาพรวมในขณะนี้บรรยากาศ การจับจ่าย มูด ทราฟฟิกเริ่มกลับมาคึกคักใกล้เคียงกับช่วงปี 2562 แล้ว ซึ่งมีทั้งกลุ่มคนไทยที่ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้ ก็หันกลับมาเลือกซื้อสินค้าในประเทศ ทำให้สินค้าลักชัวรีได้รับความนิยมมียอดขายดี ขณะเดียวกันการเปิดประเทศทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาอย่างคึกคัก เห็นได้จากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา แม้จะยังขาดนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่เปิดประเทศ”
สำหรับซิกเนเจอร์อีเว้นท์ที่จัดขึ้นต่างได้รับความสนใจ เห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่เข้ามาร่วมกิจกรรม และจับจ่ายซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็น THE MALL TOYS COLLECTIBLE FEST มหกรรมการแสดงของเล่นของสะสม ที่รวม BEARBRICKไอเทมระดับโลกที่หาชมยากกว่า 200 ตัว มากที่สุดในประเทศไทย, งาน GOURMET SUPER SUPER มหกรรมอาหาร ภายใต้คอนเซ็ปต์ THE WONDER OF FOOD มหัศจรรย์แห่งอาหาร
รวบรวมความ SUPER ของสินค้าและอาหารจากทั่วทุกมุมโลก และยังมีงาน Food Expo ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมไปถึงงานคอนเสิร์ต , Fan Meet ศิลปินเกาหลี ไทย, งาน End of Season Sale, Bangkok Shopping Festival และอื่นๆที่จะตามมาอีกด้วย ซึ่งการจัดแคมเปญและอีเว้นท์ต่างๆ เหล่านี้จะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น โดยไตรมาส 4 นี้คาดว่าจะมีทราฟฟิคเพิ่มขึ้นกว่า 20%
ฟาก นายจักรพล จันทวิมล ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาดและองค์กรสัมพันธ์ บริษัท ซีคอน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนทั้งซีคอนสแควร์และซีคอนบางแค มีแผนจัดอีเว้นท์ทั้งอีเว้นท์หลักและอีเว้นท์ย่อยรวมกันราว 50 งาน โดยใช้งบด้านการตลาดสำหรับจัดอีเว้นท์ในไตรมาส 4 ราว 50 ล้านบาท หรือประมาณ 40% ของงบรวมตลอดทั้งปี
แบ่งเป็นการจัดอีเว้นท์หลักประมาณ 10 งาน ซึ่งจะเป็นงานในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่เราจะช่วยสร้างบรรกาศและประสบการณ์ใหม่ให้แก่ลูกค้าในช่วงเวลานั้นๆ อยู่เสมอ เช่น งานกาดหมั้วเป็นงานหนึ่งที่มีเอกลักษณ์ของชาวล้านนาแท้ เป็นงานใหญ่ที่ลูกค้ารอคอยโดยปีนี้มาในธีมช้างในวิถีล้านนา, งานฮาโลวีนเป็นอีกงานที่ในทุกปีเราจะมีการวางคอนเซปต์ที่แปลกใหม่ใส่ไอเดียที่ทำให้ลูกค้าตื่นตาตื่นใจ, งานคริสต์มาสมีการประดับตกแต่งไฟอย่างสวยงาม และงานเคาท์ดาวน์ ซึ่งจะมีการจัดแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังมากมาย
“ศูนย์สรรพสินค้าซีคอนเน้นการจัดอีเว้นท์ที่แปลกใหม่ ยิ่งใหญ่ทุกงาน ซึ่งช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีและเติมเต็มสีสันความสุขที่ซ้ำใครให้กับลูกค้าของเรา ถือเป็นซิกเนอเจอร์ของเราเลยก็ว่าได้ งานทุกงานเราเน้นลงรายละเอียด มีสุดยอดไฮไลท์เด็ดที่สมจริง ไม่ว่าจะเป็นอีเว้นท์ทางด้านวัฒนธรรม ด้านไลฟ์สไตล์ ด้านเมืองท่องเที่ยวหรือด้านธรรมชาติ ซึ่งกลยุทธ์การดึงกลุ่มเป้าหมายด้วยอีเว้นท์ในสไตล์ซีคอนสามารถช่วยกระตุ้นทราฟฟิคทั้ง 2 สาขาให้เพิ่มขึ้นกว่า 20%”
นอกจากนี้หากภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายเชื่อว่าจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีให้แก่เศรษฐกิจโดยรวม ทั้งยังช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงปลายปีให้คึกคักยิ่งขึ้น เพราะช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็น ไฮซีซั่น โดยเฉพาะในปีนี้กล่าวได้ว่าเป็นปีทองของผู้บริโภคเพราะแบรนด์ต่างๆ เริ่มกลับมาทำตลาดจริงจัง โหมการทำโปรโมชันหลากหลายรูปแบบ ซึ่งน่าจะเป็นจุดพลิกฟื้นเศรษฐกิจหลังโควิดได้เป็นอย่างดี