“sasi” มองธุรกิจเครื่องสำอางปี2566 ยังไม่ปลอดภัยเน้นตั้งรับลดความเสี่ยง

25 พ.ย. 2565 | 11:31 น.
อัปเดตล่าสุด :25 พ.ย. 2565 | 18:58 น.

“sasi” มองมู้ดการจับจ่าย "เครื่องสำอาง" ปีนี้ดีขึ้น จับจังหวะเทศกาลส่งท้ายปีดึงคาแรกเตอร์ BT21 ดันยอดขายโค้งสุดท้าย ส่วนปีหน้าเบรกรุกตลาดเน้นตั้งรับความเสี่ยงพร้อมเทน้ำหนักดีเวลลอปเครื่องสำอางดีต่อผิว-ดีต่อโลก

ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางหลังโควิดกลับมาคึก แบรนด์ใหม่ตบเท้าแจ้งเกิดในตลาด แบรนด์เก่าปล่อยคอลเลกชั่นใหม่กระตุ้นยอด sasi รุกตลาดส่งท้ายปีดึงคาแรกเตอร์  BT21 เสริมทัพคลอดคอลเลคชั่นพิเศษ“Shining Star Collection” หนุนยอดขายเข้าเป้า 50%

“sasi” มองธุรกิจเครื่องสำอางปี2566 ยังไม่ปลอดภัยเน้นตั้งรับลดความเสี่ยง

นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องสำอางกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากซบเซามา 2 ปี แบรนด์ต่างๆเปิดตัวคอลเลคชั่นใหม่มากขึ้น ขณะที่แบรนด์ใหม่ตบเท้าเข้าสู่ตลาดมากขึ้นเช่นกันเพราะอั้นมาจากโควิด ประกอบกับผู้บริโภคเองออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านส่งผลให้พฤติกรรมการแต่งหน้ากลับมาเป็นปกติและหนุนให้ตลาดเครื่องสำอางเติบโตตามไปด้วย  โดยการแข่งขันหลักๆในอุตสาหกรรมเน้นไปที่คุณภาพสินค้า แบรนดิ้ง เทคนิคการตลาด การโฆษณา ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย ความสะดวกในการซื้อและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์รวมทั้งเทคโนโลยีใหม่ๆ

 

สำหรับ “sasi” ภาพรวมของธุรกิจนับว่าดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา จากกำลังซื้อที่ฟื้นตัวดีขึ้นประกอบกับผู้บริโภคอยู่ในมู้ดของการชอปปิ้งทำให้ยอดขายดีขึ้น40% จากยอดขาย 500 ล้านบาทในปีที่ผ่านมาซึ่งรายได้โดยรวมไม่ได้ปรับตัวลดลงมากแต่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15% เช่นเดียวกับปีนี้สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่ยอดขายแต่ยังเป็นเรื่องของต้นทุนและเรื่องซัพพลายเชนต่างๆที่ยังมีความวุ่นวายเนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเครื่องสำอางนำเข้าจากหลายประเทศซึ่งมีปัญหาทั้งราคาขึ้นและขาดตลาด 

นายรวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ

“ช่วงนี้สถานการณ์ต่างๆคลี่คลายมาบ้างเล็กน้อยแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าราคาวัตถุดิบจะกลับไปขาดตลาดหรือราคาพุ่งกว่านี้หรือไม่ ค่าเงินเองก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่น่ากังวล เพราะมีความผันผวนสูงทำให้ควบคุมต้นทุนยาก แต่เรายังไม่มีการปรับราคาและพยายามที่จะดึงราคาไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้และพยายามลดต้นทุนอื่นแทน เราเชื่อว่าราคาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นน่าจะเข้าใกล้จุดพีคและจะมีการปรับลดลงมา ดังนั้นปีนี้คาดว่าเราน่าจะทำรายได้ 720 ล้านบาทจากทุกช่องทางการจัดจำหน่ายทั้งร้านขายเครื่องสำอางโดยเฉพาะ  pharmacy Store ร้านสะดวกซื้อ และร้านโลคอลขนาดใหญ่”

 

อย่างไรก็ตาม sasi มีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นวัยรุ่นตั้งแต่มัธยม ปัจจุบันเริ่มขยายกลุ่มเป้าหมายให้กว้างกว่าเดิม เช่นกลุ่มนักศึกษาที่เรียนจบแล้วไปจนถึงกลุ่มเริ่มต้นทำงาน ซึ่งเป็นฐานลูกค้าเดิมที่เติบโตขึ้นตามวัย  อย่างไรก็ตามพฤติกรรมการใช้เครื่องสำอางของผู้บริโภคเปลี่ยนทุกปีโดยได้อิทธิพลมาจากกดารา ศิลปิน ซีรีย์ทั้งของไทยและต่างประเทศที่ส่งผลต่อวิธีการแต่งหน้า การใช้เครื่องสำอาง ลุคและอารมณ์ที่ต้องการ ขณะที่สินค้าของ sasi แบ่งเป็น 3 กลุ่มหลักคือ1กลุ่มแป้งและคุชชั่น  2กลุ่มรองพื้น และ3 กลุ่มสีเช่นลิปสติก บลัชออน อายแชโดว์ ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดได้

“sasi” มองธุรกิจเครื่องสำอางปี2566 ยังไม่ปลอดภัยเน้นตั้งรับลดความเสี่ยง

ผู้บริหารกล่าวต่อไปว่า การทำการตลาดกับวัยรุ่นยุคนี้มีความน่าสนใจมาก เพราะวัยรุ่นสมัยนี้มีกลุ่มและความสนใจของตัวเองเช่นเกม การ์ตูนหรือนิยาย การทำการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายแบรนด์จะต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายอยู่ที่ไหนและมีความสนใจอะไร ต่างจากอดีตที่ทำโฆษณาหนึ่งชิ้นก็สามารถกวาดลูกค้าได้ทุกกลุ่ม 

 

“ตลาดเครื่องสำอางมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงและเป็นธุรกิจที่เป็นแฟชั่น ในช่วงของปลายปีเป็นช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองเราต้องการออกแคมเปญที่ช่วยสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดและเป็นการตอกย้ำภาพแบรนด์ของ sasi ในการเป็นวัยรุ่นสนุกสนานมีพลัง เราจึงจับมือกับ LINE FRIENDS เพื่อดึงคาแรคเตอร์  BT21 มาอยู่บนสินค้าคอลเลกชันใหม่เพื่อดันยอดขายช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีให้เติบโตตามเป้าที่ 50% การร่วมมือครั้งนี้ส่วนหนึ่งเพราะกลุ่มลูกค้าของLINE FRIENDSและกับกลุ่มลูกค้า sasi แมทช์กันพอดีและตรงกับสิ่งที่ sasi ต้องการสื่อโดยไลเซ่นส์นี้จะถูกใช้ไปจนถึงเดือนเมษายน 2566”

 

ส่วนปี 2566 เชื่อว่าแรงกดดันด้านต้นทุนอาจจะไม่กดดันมากเท่าปีนี้ ถ้าไม่มีปัจจัยอื่นเข้ามากระทบเพิ่ม อย่างน้อยๆปีนี้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีโดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ตัวเลขดีกว่าที่คาดการณ์พอสมควรและในช่วงเดือนสุดท้ายของปีน่าจะเห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้าเป้า 10 ล้านคนและหากการใช้เงินต่อหัวเพิ่มขึ้นกำลังซื้อในประเทศไทยน่าจะดีตามไปด้วย เพราะฉะนั้นภาคท่องเที่ยวคือความหวังสูงสุดของประเทศเพราะเมื่อนักเที่ยวกลับมาเงินก็จะกระจายเข้าระบบเยอะ 

 

“ถ้าเป็นไปตามนี้แม้ว่ากำลังซื้อจะไม่กลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิดแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่พอไหวและเป็นปีที่น่าจะโอเคสำหรับทุกคน แต่น่าจะเป็นอีกปีที่ยังจะต้องตั้งรับและรุกแบบระมัดระวังมากๆ อันดับแรกต้องรักษากระแสเงินสดและลูกค้า เพราะฉะนั้นปีหน้าจะเป็นลักษณะของการเพิ่มความสัมพันธ์กับลูกค้ามากกว่าที่จะรุกตลาดแบบดุเดือด แต่เชื่อว่าตั้งแต่ปี 2024 ทุกอย่างจะดีขึ้นและมีพื้นที่ให้ทำ activity ที่มากขึ้น เราไม่ได้คาดหวังยอดขายที่เติบโตมากแต่จะต้องแข็งแรงและไม่มีอะไรผิดพลาดเยอะแต่เชื่อว่าภายใน 2 ปียอดขายจะถึงเป้า 1 พันล้านบาทได้” 

 

อย่างไรก็ตามปี 2556 "sasi" ยังคงโฟกัสกลุ่มหลักๆคือ แป้ง รองพื้น และกันแดด และถ้ามีโอกาสอาจแซมสินค้าที่เป็นกลุ่มสีบ้างเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาด  นอกจากนี้ยังให้น้ำหนักกับการดีเวลลอปสินค้าใหม่ภายใต้แนวคิดคลีนบิวตี้ ผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อผิวและดีต่อโลก ซึ่ง sasi ใช้ในการพัฒนาสินค้ามาอย่างต่อเนื่อง 

 

“เราทำทุกอย่างตั้งแต่การใช้วัตถุดิบที่ไม่เป็นผลร้ายต่อผิว ไม่มีผลกระทบต่อต่อปะการัง และCarbon Footprint ในสินค้าบางตัว นอกจากนี้ยังไม่มีการทดสอบผลิตภัณฑ์ในสัตว์ แต่จะใช้ห้องแล็บระดับโลกในการทดสอบผลิตภัณฑ์เพราะเราให้ความสำคัญเรื่องมาตรฐานของสินค้ามาก ในอนาคตจะเพิ่มเติมในส่วนของการออกแบบแพคเกจจิ้งที่ลดการใช้พลาสติกให้น้อยลงและใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่ายมากขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจ แต่ในการดีเวลลอปจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไปเพราะต้องยอมรับว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเราบาดเจ็บพอสมควร เวลาจะขยายอะไรเราจะระวังมากและไม่ทำอะไรที่มีความเสี่ยงเยอะ”