จากผลพวงวิกฤติราคาพลังงานทำให้ต้นทุนอุตสาหกรรมพุ่งขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้ง คิงสเตลล่า กรุ๊ป ที่ราคาต้นทุนปรับตัวสูงขึ้นถึง 30% แม้จะพยายามตรึงราคาสินค้าไว้ระยะหนึ่ง แต่ยอมรับว่าหากไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนได้จะมีการปรับราคาสินค้าในเป็นสุดท้ายของตลาด
นายชนะพันธุ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานกรรมการ บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด หรือ KSG เปิดเผยว่า จากราคาต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นทำให้ ผู้ประกอบการหลายรายทยอยขึ้นราคาสินค้าต่อเนื่อง ในส่วนของบริษัทมีนโยบายจะปรับราคาสินค้าหลังสุดในตลาด และคาดว่าจะกระทบต่อการทำกำไรในระยะสั้น อย่างไรก็ตามบริษัทมองว่าภาพรวมเศรษฐกิจปี 2566 นี้ การท่องเที่ยวเริ่มมีการขยายจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ทยอยกลับเข้ามาท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้สินค้าอุปโภคบริโภคได้รับอานิสงส์ที่ดีจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย
ในปี 2566 นี้ บริษัทมีแผนทรานส์ฟอร์มกลุ่มบริษัทในเครือ จาก 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท สยามพูลทรัพย์ อินเตอร์เคมีคอล จำกัด, บริษัท แบร์ริ่ง เพ็ทแคร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท คิงส์สเตลล่า แลบบอราทอรี่ จำกัด เข้ามาอยู่ภายใต้บริษัทเดียวกันคือ ‘บริษัท คิงสเตลล่า กรุ๊ป จำกัด(KING’s STELLA GROUP Co., Ltd หรือชื่อย่อ KSG)’ ช่วงที่ผ่านมามีการขยายธุรกิจต่อเนื่องทำให้ปัจจุบันมีธุรกิจในพอร์ต 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ Air Care, Home Care, Car Care, Pet Care และ Personal Care
ในช่วงโควิดสินค้ากลุ่ม Personal Care มีเจลล้างมือ “King’s Stella Hand Sanitizer” เป็นสินค้าที่มียอดขายดีทำยอดขายมากกว่า 100 ล้านบาทรวมไปถึงสเปรย์ปรับอากาศ “King's Stella Classic Series” ที่ช่วยให้บรรยากาศ work from home ดีขึ้น และ “King's Stella Freshy Bear Gel” เจลน้ำหอมปรับอากาศหมีคิงส์
ขณะที่กลุ่ม Pet Care มี“BEARING Petcare”เป็นแบรนด์เรือธง ในการเข้าทำตลาด จนผลิตภัณฑ์แชมพูกำจัดเห็บหมัดสำหรับสัตว์เลี้ยง “BEARING Tick & Flea Dog Shampoo” สามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่งในผลิตภัณฑ์แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยง ในร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์สัตว์เลี้ยง
ในปีนี้บริษัทจะขยายผลิตภัณฑ์เข้าสู่กลุ่มสินค้าพรีเมียมและอัลตร้าพรีเมียมมากขึ้น จากเดิมที่สินค้าส่วนมากจะเป็นกลุ่มสแตนดาร์ด ทำให้บริษัทฯ ได้ลงทุนในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับสัตว์เลี้ยงไปมากกว่า 100 ล้านบาท โดยเป็นแผนนับตั้งแต่ปี 2563-2567 เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงมีมูลค่ามากกว่า 4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงประมาณ 80% ที่เหลือเป็นอื่นๆ อาทิ แชมพู และของใช้สำหรับสัตว์เลี้ยงอีกประมาณ 20% จะเห็นได้ว่าตลาดสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเพราะพฤติกรรมของผู้คนเริ่มปรับเปลี่ยนจากการเลี้ยงเพื่อเฝ้าบ้าน มาเป็นให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงของตัวเองจนเปรียบเสมือนเป็นอีกหนึ่งสมาชิกในครอบครัว
ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมีสินค้าอาหารทานเล่นสำหรับสุนัขอย่าง “BEARING Jerky Treats Soft Snack” ที่เติบโตค่อนข้างสูง ทำให้บริษัทฯ ต้องมีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มมากขึ้น โดยในตอนนี้ได้มีการสั่งซื้อเครื่องจักรมาจากเยอรมัน ภายใต้เงินลงทุนประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังการผลิตจากกว่า 1 ตันต่อวัน เป็นเกือบ 10 ตันต่อวัน แน่นอนว่าจะทำให้บริษัทฯ มีศักยภาพที่สามารถทำตลาดได้ทั้งในและต่างประเทศมากยิ่งขึ้น
ส่วนผลิตภัณฑ์ขนมแมวเลีย “BEARING Cat Liquid Snack”ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคเป็นอย่างมาก โดยมีอัตราการเติบโตมากขึ้น โดยบริษัทฯ เป็นหนึ่งในผู้ริเริ่มทำตลาดดังกล่าว ซึ่งในส่วนนี้ก็ยังมีแผนงานที่ขยายการผลิตเช่นเดียวกัน เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะมีการลงทุนด้านเครื่องจักรในช่วงปลายปี 2566 นี้ ควบคู่ไปกับการขยาย Pack Size ให้ตอบโจทย์ตลาดมากขึ้น รวมถึงพัฒนาสูตรที่ให้ความสำคัญกับโรคไตของแมว จึงได้มีการออกสินค้าในสูตรโซเดียมต่ำ แต่โปรตีนสูง โดยบริษัทฯ จะเน้นให้เนื้อไก่คุณภาพสูงในการผลิต และมีส่วนประกอบของปลาทะเลด้วย ซึ่งจะทำให้รสชาติที่ทำเป็นเกรดญี่ปุ่น”
ขณะเดียวกันยังมีแผนขยายการลงทุนในกลุ่มธุรกิจ Car Care โดย “President's WaxOne นอกจากเป็นผู้บุกเบิกตลาดคาร์แคร์ในไทยและครองความเป็นผู้นำตลาดในเวียดนาม ปัจจุบันบริษัทมีสินค้า 2 ซีรีย์ ได้แก่ WaxOne Easy จับกลุ่มคอนซูเมอร์หรือลูกค้าทั่วไป ว่างจำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรดและร้านค้าดั้งเดิม มีราคาจับต้องได้ ไม่สูงมากนัก และ WaxOne Gold ที่เป็นสินค้าที่มี Performance สูง เทียบเท่าสินค้านำเข้า วางจำหน่ายผ่านช่องทางบูธ คีออสตามสถานที่ต่างๆและมีพนักงานขายคอยแนะนำสินค้าโดยวางแผนขยายจุดบูธคีออสมากกว่า 10 แห่งในอนาคต
และในปี 2567 จะมีการลงทุนเพื่อเปิดร้านคาร์แคร์ ซึ่งจะกลายมาเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ของบริษัทฯ โดยหลักๆจะลงทุนนำเข้าเครื่องล้างรถอัตโนมัติรูปแบบใหม่ รวมถึงตอบโจทย์การทำงานของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะขยายตัวมากขึ้นในอนาคต
ในขณะที่ นายชุติพนธ์ กิตติเกษมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร คิงสเตลล่า กรุ๊ปเปิดเผยเพิ่มเติมว่า ในช่วง 5 ปีนับจากนี้บริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท เพื่อทำการพัฒนาสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดและทำการตลาดให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้ให้เพิ่มขึ้นมาเป็น 2,000 ล้านบาท โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีวิกฤติจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ก็ยังมีการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี มองว่าจากปัจจัยบวกของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงการขยายตลาดของบริษัทฯ ในปีนี้จะทำให้มีรายได้ 1,000 ล้านบาท
โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายคือการขยายตลาดต่างประเทศโดยจะเข้าไปลงทุนสร้างเครือข่าย Global Distribution เพื่อจัดส่งสินค้าให้ถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จากเดิมที่ตลาดส่งออกจะเป็นในลักษณะของผู้นำเข้าซื้อไปเพื่อจำหน่ายต่อใน 13 ประเทศ คิดเป็นสัดส่วน 15-20% แต่จากนี้จะมีการลงทุนในประเทศปลายทางที่ตลาดมีศักยภาพ เนื่องจากสามารถดูแลลูกค้าได้ดีกว่าหลังจากทดลองโมเดลธุรกิจนี้ในประเทศเวียดนามผ่าน Distribution ปลายทาง หลังจากนี้จะขยายไปยัง อินเดียเนื่องจากเป็นตลาดขนาดใหญ่ มีประชากรจำนวนมากในไตรมาส 2 ก่อนจะขยายไปยัง ฟิลิปปินส์ ในช่วงไตรมาส 4 และมาเลเซียในปี 2567
“ในปีนี้เราเตรียมออกสินค้าใหม่ 60 รายการ แบ่งเป็น Pet Care 40% Air Care และ Home Care รวมกัน 40% และ Car Care อีก 20% โดยสำหรับตลาดสเปรย์ปรับอากาศนั้นยังมีโอกาสการเติบโตอยู่มาก ปัจจุบันบริษัทติดท็อป 3 ของตลาดและคาดหวังว่าจะเป็นเบอร์หนึ่งภายใน 5 ปี รวมทั้งขยายกลุ่มลูกค้าให้เด็กลงในช่วง 25-34 ปี เนื่องจากเป็นวัยทำงานที่มีกำลังซื้อสินค้า จากปัจจุบันที่ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มคนอายุเฉลี่ย 45 ปีขึ้นไป โดยออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์ Lazy Economy เพื่อปูทางไปยังสินค้าอื่นๆในพอร์ตในอนาคต”