หลังปลดล็อกกัญชา กัญชง ให้เป็นพืชเศรษฐกิจ ทำให้ “ณุศาศิริ” มองเห็นโอกาสและนำไปต่อยอดทั้งการพลิกโฉม “เลเจนด์ สยาม พัทยา” ให้เป็นเมือง มหัศจรรย์กัญชา หรือ Miracle Cannabis Land ด้วยงบลงทุนกว่า 1,700 ล้านบาท รวมทั้งการปลูกกัญชาที่มายโอโซน เขาใหญ่ ซึ่งทั้งสองโปรเจ็กต์ จะมีผลผลิตได้ราว 4 แสนตันต่อปี รองรับความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ดีหลังจากที่พรรคก้าวไกล มีแนวคิดยกเลิกกัญชาเสรี และกลับไปเป็นยาเสพติด ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับกัญชา กัญชงต้องชะงักงันไป
นางศิริญา เทพเจริญ ประธานบริหาร บริษัท ณุศา เลเจนด์ สยาม พัทยา จำกัด และรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท ณุศาศิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า หลังจากที่มีแนวคิดยกเลิกกัญชาเสรี บริษัทจึงปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันมากขึ้น โดยยังเน้นการปลูกกัญชาเพื่อนำมาสกัดสารสำคัญในการผลิตตัวยา อาหารเสริม และเรื่องสกินแคร์ แต่อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาบริษัทใช้กัญชาสายพันธุ์ต่างประเทศซึ่งมีต้นทุนที่สูงมากทำให้ไม่สามารถสู้ทุนต่างประเทศได้
ปัจจุบันมีการลดกำลังการปลูกในส่วนของ “เลเจนด์ สยาม” (Legend Siam) ลงครึ่งหนึ่ง หรือ 50% เหลือเฉพาะการปลูกแบบ “อินดอร์” ซึ่งผลผลิตที่ได้มากเกินพอสำหรับใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ และเน้นตลาดในประเทศ ทั้งสกินแคร์ 15 รายการ ยาหรือวิตามิน รวมทั้ง Full spectrum ใช้รักษาโรคกลุ่มมะเร็งในโรงพยาบาลพานาซี
ซึ่งต้องยอมรับว่าการส่งออกสู้ต่างประเทศไม่ได้ เพราะCBD ต่างประเทศมีราคาราว 6 หมื่นบาทต่อกิโลกรัม แต่ต้นทุนของบริษัทพุ่งเกือบ1 แสนบาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่พื้นที่ปลูก “เอาท์ดอร์” ที่มายโอโซน เขาใหญ่ (My Ozone Khao Yai) ได้ยกเลิกการปลูกทั้งหมดจำนวน 70-80 ไร่ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา
“ปัจจุบันเลเจนด์ สยาม มีการปรับพื้นที่ให้กลับมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเต็มรูปแบบ เพื่อเตรียมรองรับการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ในคอนเซ็ปท์ตำนานเรื่องเล่าของความเป็นไทย ส่วนศูนย์มิวเซียมกัญชาถูกปรับเป็น “เรือนหมอยาตำราแพทย์แผนไทย” เพราะกัญชาถือเป็นพืชชนิดหนึ่ง
ซึ่งในตำราหมอยาของไทยตั้งแต่ยุคพระนารายณ์ ซึ่งระบุว่า กัญชาเมื่อนำไปรวมกับพืชชนิดอื่นจะทำให้ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น เป็นคุณสมบัติของยาไทยและต้นกัญชาที่เกิดในประเทศไทยต่างจากประเทศอื่น ตอนนี้เราปรับรูปแบบมาได้ 1 เดือนพร้อมกับเปิดแคมเปญ “เปิดเรือนหมอยาตามหามาริโอ้” ซึ่งคนให้ความสนใจเยอะเพราะถือว่าได้ไปเรียนรู้แพทย์แผนไทยด้วย”
นอกจากนี้ “เลเจนด์ สยาม” ยังร่วมกับกรมแพทย์แผนไทยนำเสนอความเป็นไทยผ่านสมุนไพร มิวเซียม เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้พืชสมุนไพรของไทย และเป็นแหล่งเรียนรู้ของโรงเรียนหลายๆแห่ง เพราะใน “เลเจนด์ สยาม” มีส่วนงานวัด แพทย์แผนไทยและเสริมเรื่องของปางช้าง วัฒนธรรมและตลาดน้ำโดยใช้งบลงทุนไปกว่า 40 ล้านบาท
เพื่อปรับพื้นที่ประมาณ 15% ของงานก่อสร้างทั้งหมดให้ “เลเจนด์ สยาม” กลับมามีชีวิตอีกครั้งเพื่อเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะกลับเข้ามาในเดือนกรกฎาคมอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเข้ามาแต่ยังไม่มากทั้งจีน รัสเซีย เกาหลี และเวียดนาม
“หลังจากนี้เราโฟกัสเรื่องของการท่องเที่ยวและเพิ่มเติมในส่วนของท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ เร็วๆนี้เราจะมีแคมเปญเพื่อโปรโมตให้ประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ” โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยโดยจะมีการเปิดตัวในเดือนกรกฎาคม ก่อนจะสร้างพาร์ทเนอร์แต่ละจังหวัดเพื่อทำแพคเกจท่องเที่ยวออกสู่ตลาดทั่วโลก เพราะวิกฤตโควิดสอนเราว่าถ้าทำท่องเที่ยวให้ยั่งยืนต้องเปลี่ยนการท่องเที่ยวมาเป็นท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สร้างเดสติเนชั่นของคนที่อยากมาใช้ชีวิตอายุยืนที่ประเทศไทย”
นางศิริญา กล่าวอีกว่า ประเด็นการยกเลิกกัญชาเสรีนั้น ส่วนตัวเห็นด้วย เพราะไม่มีความจำเป็นที่กัญชาไทยจะต้องเป็นเหมือนอัมสเตอร์ดัมหรือแคนาดา บนความเสรีจะต้องไม่ใช่เสรีที่คนจะนำกัญชาไปใช้ที่ไหนก็ได้ ต้องมีโซนให้สูบหรือมีใบอนุญาตให้ถูกต้องและกำหนดกฏการขายที่ชัดเจนเช่น ห้ามขายให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 18 ปี คล้ายกับเหล้าและบุหรี่
เพราะต้องยอมรับว่าสุดท้ายคนเรายังต้องการการผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานแต่ก็ไม่ควรเอากลับไปเป็นยาเสพติดเช่นกันเพราะ กว่าประเทศไทยจะปลดล็อคกัญชาออกจากยาเสพติดได้ต้องใช้เวลาพอสมควร หากสามารถทำตรงนี้ได้ก็จะเกิดประโยชน์มากกว่าโทษ เพราะกัญชามีส่วนช่วยทั้งเศรษฐกิจ วิสาหกิจชุมชนและสุขภาพ
“โอกาสที่กัญชาจะถูกตีกลับไปเป็นยาเสพติดส่วนตัวมองว่า อุตสาหกรรมกัญชาเดินหน้ามาไกลมากถ้าจะกลับไปเป็นยาเสพติดอีกก็ไม่ควร เพราะไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่มีการปลดล็อคกัญชาเรานำประเทศอื่นที่มีการปลดล็อคมาก่อนหน้านี้ทั้งแคนาดา ฮอลแลนด์ หรือแม้แต่เยอรมนียังมีการเปิดเป็นโซนให้สูบได้ ขณะที่ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ปลดล็อคกัญชาและมาเลเซียเองก็กำลังจะปลดล็อคตามมา เพราะฉะนั้นก็ควรจะเก็บไว้เพียงแต่ต้องป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีใช้สารสกัดได้”