นายเขม หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอ็มเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ธุรกิจภายใต้เครือพูลผลเปิดเผยว่า เอสเอ็มเอสเป็นผู้นำในการผลิตแป้งมันสำปะหลังดัดแปรคุณภาพสูงของประเทศไทยและของโลก ที่ตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมที่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และสามารถทำรายได้สูงถึง 7 พันล้านต่อปี
โดยบริษัทได้เล็งเห็นถึงโอกาสของประเทศไทย ที่ซึ่งเป็นแหล่งปลูกมันสำปะหลังเป็นอันดับ 2 ของโลก จึงเป็นผู้ริเริ่มนำแป้งมันสำปะหลังซึ่งเป็นสินค้าสำคัญทางการเกษตรมาตัดแปร โดยใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิเช่น อาหาร กระดาษ สิ่งทอ และก่อสร้าง เป็นต้น
ปัจจุบันเอสเอ็มเอสมีโรงงานอยู่ 3 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ปทุมธานี ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ โดยมีกำลังการผลิตถึง 400,000 ตันต่อปี และยังให้ความสำคัญกับเกษตรกร ซึ่งรับซื้อวัตถุดิบราว 1.6 ล้านตันต่อปี อย่างเป็นธรรม โดยใช้ระบบ Membership Farming ให้ความรู้กับเกษตรกร และยังไม่มีข้อสัญญาผูกมัดกับเกษตรกรอีกด้วย
บริษัทยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา โดยมีทีมวิจัยและพัฒนามากกว่า 60 คน เพื่อตอบโจทย์การใช้งานแป้งมันสำปะหลังดัดแปร กับความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะให้ความเหนียว ความกรอบ สามารถดัดแปรตามความต้องการของผู้ประกอบการ ผ่านการวิจัยและพัฒนาของเอสเอ็มเอส
ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าของเอสเอ็มเอส ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้า B2B ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยส่งออกถึง 80% ราว 70 ประเทศทั่วโลก โดยส่วนใหญ่เป็นประเทศในแถบเอเชียและอเมริกา เช่น ญี่ปุ่น จีน เกาหลี อินโดนีเซีย ไต้หวัน เป็นต้น
ผู้บริหารกล่าวต่อไปว่า ด้านการขยายตลาดส่งออก บริษัทมีแผนที่จะส่งออกในตลาดยุโรป และอเมริกาใต้ เพื่อรองรับเทรนด์การกินและการดูแลสุขภาพในต่างประเทศ แต่ยังคงติดอุปสรรคที่กำแพงภาษี และการกีดกันทางการค้าอยู่และยังคงมีเป้าหมายที่จะนำแป้งมันสำปะหลังจากไทยไปสู่ระดับโลก และเป็นผู้นำในการส่งออก ในตลาดแป้งดัดแปร โดยมีกลยุทธ์ทางการตลาด มีการออกบูธในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน ดูไบ เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตปีละ 10%
ทั้งนี้เอสเอ็มเอสเดินหน้าวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลก เช่น ไบโอพลาสติก จากแป้งมันสำปะหลัง สามารถนำไปผลิตเป็น ถุงพลาสติก หลอด หรือผลิตภัณฑ์จากพลาสติกอื่นๆ ที่สามารถย่อยสลายได้ภายใน 6 เดือนและโปรตีนจากพืช ที่ริเริ่มวิจัยและพัฒนามา 5 ปี ให้ตอบโจทย์การกินและการดูแลสุขภาพ โดยเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าทางการเกษตรอื่นๆ เช่น โปรตีนจากถั่วเขียว
ด้านดร.วีรวัฒน์ เลิศวนวัฒนา กรรมการบริหาร บริษัท เอสเอ็มเอส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวถึงเทรนด์อาหารแห่งอนาคตว่า ในระยะยาวโปรตีน ถือเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายของคนทุกเพศทุกวัย และสำหรับเทรนด์ของโปรตีนในระยะยาว คาดว่าจะขับเคลื่อนด้วยปัจจัยหลายประการ
เช่น จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคตระหนักถึงการทานอาหารเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น และในขณะเดียวกันปัญหาภาวะโลกร้อนและเขตเมืองที่ขยายมากขึ้นส่งผลต่อพื้นที่ภาคการเกษตรลดลง ทำให้มีการมองหาโปรตีนทางเลือก เช่น Plant Protein เพื่อเป็นการตอบโจทย์ให้ผู้บริโภค โดยผู้บริโภคยังคงได้รับสารอาหารจากโปรตีนที่ครบถ้วนและตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน
สําหรับในปีนี้ บริษัทนําเสนอผลิตภัณฑ์แป้งมันสําปะหลังดัดแปร โดยมุ่งเน้น 4 pillars ของบริษัท ประกอบไปด้วย
1. Plant Protein Solutions ผลิตภัณฑ์ผงโปรตีนเข้มข้นผลิตจากพืช มีโปรตีนสูง 80% สามารถละลายน้ำได้ ให้คุณสมบัติในการเกิดเจลที่ดี เหมาะสําหรับใช้ผสมในอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อช่วยเพิ่มปริมาณโปรตีนในอาหารให้สูงขึ้นตอบโจทย์ชีวิตคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ
2. Fiber Solutions ผลิตภัณฑ์แป้งทนย่อย (Resistant Starch) มีปริมาณไฟเบอร์ที่ไม่ละลายน้ำสูง 75% มีค่า Glycemic Index (GI) ต่ำ ใช้เป็นส่วนผสมในอาหาร เช่น ผลิตภัณฑ์เส้น ขนมอบ ขนมขบเคี้ยว เพื่อเพิ่มเสริมใยอาหารโดยไม่ทําให้รสชาติอาหารเปลี่ยนแปลง
3. Waxy Tapioca Solutions ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแป้งมันสําปะหลังสายพันธุ์แวกซี่ ซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษเป็นเจลใส อุ้มน้ำได้ดี ทนการแช่เยือกแข็งได้ดีกว่าแป้งชนิดอื่น ไม่มีกลิ่นรส จึงสามารถใช้ในอาหารแช่แข็งและอาหารแปรรูปได้ หลากหลายประเภท โดยไม่ต้องผ่านการดัดแปรด้วยสารเคมีตัวอื่นๆ
4. Bioplastic Solutions ผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกสลายตัวได้ทางชีวภาพ ซึ่งผลิตจากแป้งมันสําปะหลังดัดแปร สามารถย่อยสลายได้ไวกว่าเม็ดพลาสติกชีวภาพอื่นๆ ภายใน 3-4 เดือน โดยสามารถใช้ได้จริงในระดับอุตสาหกรรม
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,926 วันที่ 28 - 30 กันยายน พ.ศ. 2566