นายวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า วอริกซ์พร้อมเดินหน้าธุรกิจสู่ Sport Active Health Lifestyle ครบวงจร เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเจนเนอเรชั่น ทั้งชุดกีฬา อาทิ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล กอล์ฟ วิ่ง ธุรกิจด้านสุขภาพ
ประกอบด้วย Warrix Run Hub ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซึ่งเป็นพื้นที่พัฒนาศักยภาพนักกีฬาและผู้ชอบการออกกำลังกาย Warrix Health คลินิกกายภาพบำบัด และ Performance training ตลอดจนสินค้าและบริการกลุ่มไลฟ์สไตล์ รวมถึง “Warrix Lifestyle” Lifestyle community ซึ่งเปิดตัวที่สยามสแควร์ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
โดยในปีหน้า บริษัทางเป้าหมายที่จะเติบโตแบบไร้ขีดจำกัด (Unlimited Growth) โดยโฟกัสใน 4 เรื่อง ได้แก่ 1. การสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์วอริกซ์ 2. การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ 3. การบริหารสินค้า และ 4 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยการใช้อินโนเวชั่น โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ “วอริกซ์” เป็นแบรนด์ลีดเดอร์ในภูมิภาคอาเซียน โดยใช้โมเดลจากไทยที่ประสบความสำเร็จ ส่งต่อไปที่สิงคโปร์ มาเลเซีย กัมพูชา เวียดนามและประเทศอื่นๆ ในอนาคต
“ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาวอริกซ์ ก้าวเข้ามาในตลาดเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาในไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Warrior” หรือนักรบที่แสดงถึงชัยชนะ แข็งแรง ดุดันและเป็นสุภาพบุรุษ ด้วยกลยุทธ์ Local Marketing เป็นสปอนเซอร์ผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้ากีฬาให้กับนักฟุตบอลทีมสโมสรตามต่างจังหวัดทั่วทุกภูมิภาค และเป็นผู้สนับสนุนสถาบันการศึกษาต่างๆ
อาทิ โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โรงเรียนอัสสัมชัญ ฯลฯ และ License Marketing โดยคว้าลิขสิทธิ์ผลิตชุดแข่งขันให้กับสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย มาตั้งแต่ปี 2560 และถือลิขสิทธิ์ต่อจนถึงปี 2571 จนสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับเสื้อนักกีฬาทีมชาติไทย และส่งต่อคุณค่าแบรนด์ Warrix ไปยังกลุ่มแฟนกีฬาชาวไทย”
จากจุดเริ่มต้นที่มีรายได้หลักสิบล้านบาท วันนี้ “วอริกซ์” ตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ทะลุหมื่นล้านบาทในอีก 10 ปีข้างหน้า ซึ่งแผนการณ์เดินหน้าคือการขยายธุรกิจครอบคลุมทั้งธุรกิจไลเซนส์และนอนไลเซนส์
“ในปีหน้าวอริกซ์จะรีแบรนด์สู่ Sport Active Health Lifestyle พร้อมเดินหน้าสู่ผู้นำแบรนด์สินค้ากีฬาและไลฟ์สไตล์ของอาเซียน”
นั่นหมายความว่า จะมีสินค้าที่หลากหลายไม่ใช่แค่ชุดกีฬา ซึ่งน้อยคนจะรู้ว่า “วอริกซ์” มีรองเท้ากีฬา ซึ่งแม้จะมีคอลเลคชั่นให้เลือกจำกัด แต่แต่ละคอลเลคชั่นที่ออกมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยดีไซน์ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับกับสรีระของคนไทย รวมถึงนวัตกรรมที่ทำให้ใส่สบาย จึงได้รับความนิยมจากกลุ่มนักกีฬาและสตรีทแวร์
นอกจากนี้ในปีหน้าจะเห็นเสื้อทีเชิ้ต ซึ่งผลิตออกมารองรับกลุ่มลูกค้าประจำของวอริกซ์ ทั้งกลุ่มสินค้าไลเซนส์และนอนไลเซนส์ที่พบว่า มีทั้งลูกค้าทั่วไป และลูกค้าองค์กร เช่นหน่วยงานรัฐ โรงเรียน รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน ซึ่งเราผลิตยูนิฟอร์มให้กับองค์กรต่างๆ จำนวนมาก เป็นต้น รวมทั้งการขยายช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
เช่น การจับมือกับเอาท์เล็ท มอลล์ ผู้บริหารโครงการ “พรีเมี่ยม เอาท์เล็ท” สร้าง Specialty Store เพื่อลูกค้าเข้าถึงสินค้าทีมชาติไทย ผ่านสาขาของเอาท์เล็ทตามหัวเมืองต่างๆ ขยายฐานลูกค้าจากกลุ่มเดิมกระจายออกสู่หัวเมืองท่องเที่ยว และมุ่งสู่การเป็น HUB กระจายสินค้าอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันเปิดแล้ว 3 สาขาได้แก่ พัทยา, อยุธยา และโคราช และมีแผนจะขยายสาขาให้ได้ 8 แห่ง ภายในปีหน้า ซึ่งที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ
“วอริกซ์ พร้อมทดลองสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา เช่นการจับมือกับบริษัท ขนส่งฯ โปรโมตแบรนด์ และสินค้าของวอริกซ์ บนรถ บขส. สายเหนือผ่านจอที่นั่งส่วนตัว ซึ่งมองว่าช่วงดังกล่าวมีจำนวนทราฟฟิกผู้โดยสารมากนับหมื่นคนต่อวัน จะโฆษณาบนรถให้ผู้โดยสาร หากสนใจสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อสั่งซื้อและชำระเงินได้ โดยอาจจะรับสินค้าที่จุดหมายปลายทางได้เลย ก็เป็นอีกช่องทางในการสร้างแบรนด์และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้า”
ล่าสุดหลังการเข้าซื้อกิจการ Premier Football ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าลิขสิทธิ์แบรนด์ Adidas และเป็นร้านจำหน่ายเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬาอันดับ 2 ในสิงคโปร์อยู่มายาวกว่า 17 ปี ด้วยเม็ดเงินราว 20 ล้านบาท เพื่อขยายสู่ธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งในสิงคโปร์นั้น เชื่อว่าจะมาต่อยอดแบรนด์วอริกซ์ให้เป็นที่รู้จักและเพิ่มโอกาสในการขายมากขึ้น โดยที่นี่จะเป็นแฟลกชิพของวอริกซ์ต่อไปในอนาคต
นายวิศัลย์ กล่าวอีกว่า บริษัทพร้อมขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งล่าสุดเข้าไปสนับสนุนเป็นพาร์ทเนอร์ในสโมสรฟุตบอลหลายแห่งและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้บริษัทมีแผนหาตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆ รวมทั้งการขยายสปอร์ตไลเซนส์ให้มากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างแบรนด์เช่นเดียวกับโมเดลในประเทศไทย
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 43 ฉบับที่ 3,937 วันที่ 5 - 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566