นางสาวศุภลักษณ์ อัมพุช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้อง Repositioning ประเทศ รองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไม่ใช่เน้นที่ปริมาณ เพราะในอนาคตกลุ่มนักท่องเที่ยวประเภทกรุ๊ปทัวร์จะหายไป เหลือแต่ FIT (ท่องเที่ยวด้วยตัวเองอย่างอิสระ) ดังนั้นไทยจะเตรียมความพร้อมรองรับสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
โดยเฉพาะในเรื่องของการสร้างความได้เปรียบให้เหนือประเทศอื่น เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวทั่วโลก ประเทศไทยเป็นช้อปปิ้ง พาราไดซ์ จากการมาช้อปปิ้งแบรนด์เนมในไทยที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ด้วยราคาที่แตกต่างกันไม่มาก จนทำให้ยอดขายแบรนด์เนมในไทยติดอันดับโลกต่อเนื่อง
ยุทธศาสตร์ของเดอะมอลล์ กรุ๊ปในวันนี้จึงมุ่งเป้าหมายไปที่การยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางทางด้านธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยวสำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการสร้างย่านการค้าสำคัญ เพื่อให้สอดรับนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจการท่องเที่ยวโดยภาพรวม เช่นเดียวกับเมืองที่เป็นย่านการค้าสำคัญในโลก
ทั้งนี้เดอะมอลล์ กรุ๊ปเอง มองเห็นถึงศักยภาพของย่านสุขุมวิทซึ่งเป็นย่านการค้าสำคัญของไทยและในอนาคต ดังนั้นจึงมุ่งพัฒนาย่านการค้านี้ให้มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น สอดรับกับแผนพัฒนาการขยายตัวของเมือง ผ่าน 3 แนวคิดหลัก คือ 1. ต้องมีเอกลักษณ์ (Unique) 2. มีลักษณะเฉพาะ (One and Only) และ 3. มีความโดดเด่น (Out Standing)
“เป้าหมายของเราคือการสร้างให้ย่านธุรกิจที่มีศักยภาพมีการเติบโต ทั้งย่านสุขุมวิท, ย่านลาดพร้าว-บางกะปิ และย่านบางแค ผ่านการใช้งบลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท เพราะเรามองว่าการที่เราจะเติบโตได้ ย่านนั้นๆต้องเติบโตไปด้วยกัน”
โดยเริ่มตั้งแต่การลงทุนในโครงการ ดิ เอ็มสเฟียร์ ใจกลางย่านการค้าถนนสุขุมวิท เพื่อให้ย่านสุขุมวิทเกิดขึ้นเต็มตัว ภายใต้ชื่อ “ดิ เอ็มดิสทริค” โดยดิ เอ็มสเฟียร์ จะมาเติมเต็มให้ดิ เอ็มดิสทริค สมบูรณ์แบบจากปัจจุบันที่มีศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรียมและ ดิ เอ็มควอเทียร์ โดยใช้งบลงทุนกว่า 2 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในดิ เอ็มสเฟียร์กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท และการรีโนเวตภายในดิ เอ็มโพเรียมและดิ เอ็มควอเทียร์อีกกว่า 5,000 ล้านบาท
ซึ่ง “ดิ เอ็มสเฟียร์” (THE EMSPHERE) เกิดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปท์ “THE VIBE OF BANGKOK NERVER EXPERIENCED BEFORE” เพื่อให้เป็นฟิวเจอร์ รีเทล (Future Retail) เติมเต็มให้ดิ เอ็มดิสทริค เป็นศูนย์การค้าแห่งอนาคตที่สมบูรณ์แบบ ที่สามารถขับเคลื่อนถนนสุขุมวิท ให้เป็นย่านการค้าสำคัญดังเช่นย่านการค้าสำคัญในหลายประเทศ
“ดิ เอ็มดิสทริค จะเป็น DISTRICT OF HAPPENING โดยที่ ดิ เอ็มดิสทริค มีร้านอาหาร ที่ปิดดึก หลังเที่ยงคืน บางร้านเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง เป็นศูนย์รวมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ที่ตอบโจทย์นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตอบโจทย์แนวคิด SLEEPLESS METROPOLISH หรือ เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ผสานกับศักยภาพของเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ระดับเวิล์ดคลาส ได้แก่ UOB LIVE ซึ่งเป็น WORLD-CLASS ARENA ความจุ 6,000 ที่นั่ง รองรับการจัดคอนเสิร์ต กิจกรรมระดับโลก สนับสนุนแนวคิดการสร้างศูนย์กลางเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ในระดับภูมิภาคอาเซียน (HUB OF ENTERTAINMENT)
ดิ เอ็มสเฟียร์ จะเป็นศูนย์กลางการ Hang out & Socialize บนทำเลที่ดีที่สุดบนถนนสุขุมวิท รวบรวมเทรนด์และไลฟ์สไตล์กว่า 300 ร้านค้ามากกว่า 1,000 แบรนด์ มาไว้บนพื้นที่กว่า 2 แสนตารางเมตร กับ 2 อาคารที่เชื่อมต่อกัน ใช้แนวคิด Industrial Style และที่นี่จะเป็น FASHION DESTINATION แห่งใหม่ใจกลางเมือง ด้วยแบรนด์แฟชั่นชั้นนำกว่า 40 แบรนด์ เป็นต้น โดยดิ เอ็มสเฟียร์จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธ.ค.นี้”
นางสาวศุภลักษณ์ กล่าวต่อว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ป ยังเดินหน้าสร้างย่านธุรกิจใน 2 มุมเมืองให้คึกคักไม่ว่าจะเป็นการพลิกโฉมเดอะ มอลล์ สาขาบางกะปิ สู่ “เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ สาขาบางกะปิ” และเดอะ มอลล์ สาขาบางแค สู่ “เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ สาขาบางแค” พร้อมต่อสัญญาเช่าพื้นที่ออกไปอีก 30 ปี
“แนวคิดแฟลกชิฟสโตร์เดอะมอลล์ ไลฟ์สโตร์ บางกะปิและเดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางแค คือการสร้างให้เป็น “มหานคร” แห่งใหม่ของกรุงเทพฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก (THE MALL LIFESTORE-NEW HYBRID RETAIL FOR URBAN LIVING) บนทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสำคัญ โดยทั้ง 2 โครงการ ที่มีพื้นที่รวมกว่า 7 แสนตร.ม. จะช่วยสร้างปรากฏการณ์ของอาณาจักรศูนย์การค้าที่ยิ่งใหญ่ครบวงจรเพียบพร้อมและสมบูรณ์แบบ ด้วยงบลงทุนกว่า 3 หมื่นล้านบาท
โดยการพลิกโฉมของเดอะมอลล์ บางกะปิและบางแคครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการรีโนเวต แต่ะเป็นนำเสนอศูนย์การค้าภายใต้โฉมใหม่ โดยมีพันธมิตรธุรกิจกว่า 2,000 แบรนด์ทุกกลุ่มสินค้า Fashion, Beauty, Gold & Jewelry, Lifestyle, Health & Wellness, Digital & Technology , Financial Hub, Gourmet Market, Food & Dining , Edutainment & Entertainment เข้าร่วม และยังมี Key Anchor ที่มีศักยภาพมาในการตอบโจทย์และยกระดับไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับการขยายของเมืองให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น อาทิ DONKI, MAJOR CINEPLEX, MUJI, HARBORLAND, NITORI, SF เป็นต้น”
อย่างไรก็ดีเพื่อฉลองการเปิดดิ เอ็มสเฟียร์ และปลุกกำลังซื้อในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทเตรียมใช้งบการตลาดกว่า 2,000 ล้านบาทในการทำแคมเปญต่อเนื่องตลอดเดือนธันวาคมนี้ เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งวันนี้ประเทศไทยถือเป็นเดสติเนชั่น ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ด้วยวัฒนธรรม ประเพณี สถานที่ท่องเที่ยว อาหาร ช้อปปิ้ง และวิถีความเป็นไทย เป็นจุดแข็งที่ดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เข้ามา ซึ่งในอนาคตหากไทยมีการหลอมรวมด้านความบันเทิงที่ครบวงจร จะช่วยดึงดูดให้เกิดการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เพิ่มมากขึ้น
นางสาวศุภลักษณ์ กล่าวอีกว่า ไทยมีความพร้อมรอบด้านแต่ขาดเรื่องของความบันเทิง ขณะที่ประเทศต่างๆรอบบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นบาหลี ดูไบ หรือแม้แต่เวียดนาม เป็น integrated entertainment หมดแล้ว ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถใช้ชีวิต ใช้จ่ายได้ตลอด 24 ชม. ขณะที่ไทยเองวันนี้ต้องเดินหน้าและเพิ่มแม็กเน็ตให้ประเทศ ต้องทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ไม่หลับใหล เพื่อเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาคกลางคืน จากการเพิ่มชั่วโมงทำมาหากิน ทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม ทำให้นักท่องเที่ยวได้มีแหล่งท่องเที่ยวหรือแหล่งพักผ่อนในยามกลางคืน และยังช่วงลดปัญหาการจราจรติดขัด อีกด้วย