ดีลอยท์ โกลบอล เปิดเผยรายงาน Women in the Boardroom: A Global Perspective ฉบับที่ 8 ชี้ให้เห็นว่า มีผู้หญิงจำนวนน้อยกว่า 1 ใน 4 (ร้อยละ 23.3) ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการทั่วโลก โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 นับตั้งแต่รายงานฉบับล่าสุดที่เผยแพร่ในปี 2565 แม้จำนวนผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการ ทั้งในระดับโลก และในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ความเท่าเทียมทางเพศในตำแหน่งคณะกรรมการอาจไม่เกิดขึ้นก่อนปี 2581 นอกจากนี้ หนทางไปสู่ความเท่าเทียมทางเพศในตำแหน่งประธานกรรมการหรือซีอีโอก็ยังไม่มีความชัดเจนนัก
เพื่อสร้างให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆจำเป็นต้องให้ความสนใจและร่วมกันดำเนินการ เพื่อทำให้ภาพคณะกรรมการบริหารขององค์กรสะท้อนภาพเดียวกันกับสังคม ที่องค์กรดำเนินธุรกิจอยู่ และคณะกรรมการบริหารเองต้องมีความต่อเนื่องในการดำเนินการ และการตั้งคำถามที่ตรงประเด็น
รายงานฉบับล่าสุด ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์บริษัทมากกว่า 18,000 แห่งใน 50 ประเทศ โดยสำรวจผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริษัท ตลอดจนข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระแสการเมือง สังคม และแนวโน้มของกฎหมายที่ส่งผลต่อจำนวนดังกล่าว
"แอนนา มาร์กส์" ประธานกรรมการ ดีลอยท์ โกลบอล กล่าวว่า เหตุผลที่ความหลากหลายเป็นสิ่งสำคัญในธุรกิจนั้นชัดเจน องค์กรที่คณะกรรมการมีความหลากหลายทางเพศ แสดงให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่จะมีผลประกอบการทางการเงินที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องดำเนินการเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในคณะกรรมการบริษัท
เนื่องจากปัจจุบัน ผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารขององค์กรต่างๆ ทั่วโลกยังมีจำนวนไม่มากพอ องค์กรและนักลงทุนจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อตระหนักถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการมีคณะกรรมการที่มีความหลากหลายทางเพศ
การดำเนินการของภาครัฐส่งผลให้เกิดความเท่าเทียมกันในระดับคณะกรรมการมากขึ้น จากรายงานของดีลอยท์ 5 ใน 6 ประเทศที่มีจำนวนผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการจำนวนมากที่สุด มีข้อบังคับทางกฎหมายที่กำหนดโควตาจำนวนผู้หญิงในตำแหน่งดังกล่าวในสัดส่วนต่างกันไป ตั้งแต่ประมาณร้อยละ 33 (ในประเทศเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์) ไปจนถึงร้อยละ 40 (ในประเทศฝรั่งเศส นอร์เวย์ และอิตาลี) แต่การกำหนดโควตาไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเดียวในการผลักดันความคืบหน้าเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ โครงการที่ภาครัฐดำเนินอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้เป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูล ก็มีส่วนผลักดันให้เกิดความคืบหน้าเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ในสหราชอาณาจักรและประเทศออสเตรเลีย ปัจจุบันมีผู้หญิงดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการมากกว่า 1 ใน 3 แม้ว่าจะไม่กำหนดจำนวนว่ากรรมการแต่ละคนควรถือครองตำแหน่งมากน้อยเพียงใด แต่ข้อมูลในระดับประเทศแสดงให้เห็นว่าการผลักดันเพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางเพศในคณะกรรมการไม่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดประเด็น "การถือครองตำแหน่งมากเกินไป" ตามที่หลายคนอาจมีความกังวล เพียงพอที่จะทำให้การสร้างความเท่าเทียมกันประสบความสำเร็จได้ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงนักลงทุนเอง ยังต้องให้ความสำคัญกับการตั้งเป้าหมายเกี่ยวกับการสร้างความหลากหลายทางเพศ แม้ว่าจะมีประเด็นสำคัญอื่นๆ อีกมากมายที่นักลงทุนต้องให้ความสนใจก็ตาม
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าในแต่ละประเทศ ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 17.1 ในปี 2564 เป็นร้อยละ 19.9ในปี 2566 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8
มาเลเซียมีจำนวนผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการมากที่สุด (คิดเป็นร้อยละ 28.5 ) ซึ่งได้รับการผลักดันจากโครงการริเริ่มต่างๆ เช่น โครงการโควตา " one woman on board " ของบริษัทจดทะเบียน แม้ว่าบริษัทจดทะเบียนในมาเลเซียยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ให้ผู้หญิงดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการเป็นจำนวนร้อยละ 30 ตามที่กำหนดไว้ใน Malaysian Code on Corporate Governance แต่ก็มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการให้ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการของมาเลเซีย
ในส่วนของประเทศไทย ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการร้อยละ 19 เป็นรองจากค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 23.3 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 19.9 แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชียแปซิฟิกที่ร้อยละ 14.8 กล่าวคือในแต่ละปีมีจำนวนผู้หญิงที่มีบทบาทในคณะกรรมการเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 แต่ยังเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าในระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ข้อมูลดังกล่าวยังสอดคล้องกับจำนวนผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในประเทศไทย ที่ในแต่ละปีมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.2 สำหรับประเทศไทยมีผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการอยู่ที่ร้อยละ 7.2 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในเอเชียแปซิฟิกที่ ร้อยละ 6.9 แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 8.4
แม้ว่าจะมีแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดในระดับผู้นำส่วนใหญ่ แต่สำหรับหลายประเทศยังเผชิญกับความท้าทายอยู่ เช่น จำนวนผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าบริหารฝ่ายการเงินในประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 43.4 ในปี 2566 ลดลงร้อยละ 2.4 จากปี 2565 ในทำนองเดียวกัน จำนวนผู้หญิงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการในมาเลเซีย (คิดเป็นร้อยละ 6.2) และผู้หญิงที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในสิงคโปร์ (คิดเป็นร้อยละ 11.9) ในปี 2566 ยังลดลงร้อยละ 0.3 และ 1.2 ตามลำดับจากปี 2564 สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าจำเป็นต้องดำเนินการมากขึ้น เพื่อผลักดันให้เกิดความคืบหน้าในการสร้างความเท่าเทียมทางเพศในระดับผู้นำ
SEAH Gek Choo Boardroom Program Leader ดีลอยท์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และสิงคโปร์ กล่าวว่า ได้เห็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญไปสู่ความหลากหลายในสถานที่ทำงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ผู้หญิงมีบทบาทในคณะกรรมการบริหารและที่ดำรงตำแหน่งผู้นำระดับอาวุโสที่มีเปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบทบาทของประธานกรรมการหรือซีอีโอ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แม้ว่าหลายประเทศในภูมิภาคนี้ไม่มีข้อกำหนดทางกฎหมายหรือโควตากำหนดจำนวน แต่แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่าความหลากหลายทางเพศในคณะกรรมการมีผลกระทบเชิงบวกอย่างเห็นได้ชัดมากขึ้น ซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่องค์กรต่างๆ รับมือกับความท้าทายทางธุรกิจใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดิฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกและเร็วยิ่งขึ้นในภูมิภาคนี้