3 บิ๊กปั้น “เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง” ชิงแชร์ธุรกิจร้านอาหาร 4.8 แสนล้าน

26 ก.ค. 2567 | 06:49 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ก.ค. 2567 | 07:46 น.

เขย่าธุรกิจร้านอาหาร 4.8 แสนล้าน 3 บิ๊ก “AQUA –บุญรอดฯ – เบียร์ ใบหยก” ผนึกกำลังตั้ง “เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง” จัดทัพ 8 แบรนด์ร้านอาหาร เดินหน้ารีเฟรชแบรนด์ ขยายสาขาทั้งในกรุงเทพฯ ต่างจังหวัด พร้อมปั้นแบรนด์ใหม่ มั่นใจสิ้นปีดันรายได้ทะลุ 1,700 ล้านบาท

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทาย ธุรกิจร้านอาหารกลับกลายเป็นหนึ่งในดาวเด่นที่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยมูลค่าตลาดธุรกิจร้านอาหารในปี 2566 ที่สูงกว่า 4.3 แสนล้านบาท และคาดว่าในปีนี้จะมีการขยายตัว 5-7% ส่งผลให้มีมูลค่าราว 4.8 แสนล้านบาท หนึ่งในบิ๊กมูฟของธุรกิจร้านอาหาร ที่น่าจับตาคือการปิดดีลมูลค่า 2,500 ล้านบาท ภายใต้ 3 พาร์ทเนอร์ ได้แก่ กลุ่มอควา คอร์เปอเรชั่น, บุญรอด บริวเวอรี่ และ เบียร์ ใบหยก ทายาทรุ่นที่ 3 แห่งตึกใบหยก ที่ผนึกกำลังเปิดตัวบริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด หรือ FAB

นายฉาย บุนนาค รักษาการประธานกรรมการบริหาร บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA กล่าวว่า กลุ่ม AQUA ในฐานะ Investment Company เล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจร้านอาหารที่มีเติบโตอย่างต่อเนื่อง การก่อตั้ง FAB เป็นส่วนผสมที่ลงตัว ถ้าเทียบกับอาหารจานหนึ่งแล้ว ผมคอนเฟิร์มว่าจะต้องเป็นเมนูที่อร่อย จัดจ้าน ทานได้ไม่เบื่อ และได้การการันตีรางวัลจากนักทานอย่างแน่นอน

3 บิ๊กปั้น “เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง” ชิงแชร์ธุรกิจร้านอาหาร 4.8 แสนล้าน

ทั้งนี้ จุดแข็งของอควา คอร์เปอเรชั่น เป็นบริษัทบริหารการลงทุนที่มีความหลากหลาย ทั้งธุรกิจนวัตกรรมด้านการเงิน (Fintech) ธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ฯลฯ รวมทั้งธุรกิจจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม มีแบรนด์ดังอย่างร้านราเมงเดส

ด้านนายภูริต ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่มบุญรอดฯ ตลอดระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมามีความเชี่ยวชาญในด้านธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม บริษัทมองเห็นโอกาสในการพัฒนายกระดับสินค้าและบริการในกลุ่มร้านอาหาร ภายใต้บริษัท ฟู้ด แฟคเตอร์ จำกัด ให้ดียิ่งกว่าเดิม จึงร่วมมือกับอควา คอร์เปอเรชั่น และคุณปิยะเลิศ ใบหยก ซึ่งแต่ละบริษัทมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ดังนั้นจะนำความถนัดและจุดแข็งของแต่ละฝ่ายมาผนึกกำลังกัน เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการ รวมถึงประสบการณ์ที่ดี ให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด นั่นเป็นที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้

3 บิ๊กปั้น “เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง” ชิงแชร์ธุรกิจร้านอาหาร 4.8 แสนล้าน

อย่างไรก็ตาม FAB จะกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในเชนธุรกิจร้านอาหรรายใหม่ ที่รวม 8 แบรนด์ดัง สามารถตอบโจทย์ในทุกกลุ่มลูกค้า ทั้งอาหารฝรั่ง อาหารไทย และอาหารญี่ปุ่นได้แก่ Santa Fe, Santa Fe Easy, เหม็ง แซ็ปนัว จำนวน 142 สาขา, Sekai no Yamachan จำนวน 10 สาขา, ส้มตำเจ๊แดง สามย่าน จำนวน 42 สาขา, ราเมงเดส, อิคโคฉะ ราเมน และอุชิดายะ ราเมน จำนวนรวม 10 สาขา รวมทั้งหมด 204 สาขา และมีรายได้กว่า 1,700 ล้านบาท โดยกระบวนการในการจัดโครงสร้างของบริษัทคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมนี้

นายปิยะเลิศ ใบหยก รองประธานกลุ่มใบหยก และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เอฟเอบี ฟู้ดโฮดิ้ง จำกัด กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของ FAB จะเน้นที่กลุ่ม Young generation ซึ่งถือเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอิทธิพลมากที่สุดในปัจจุบันเพราะมีการตัดสินใจที่เฉียบขาด กล้าที่จะใช้จ่ายกับสินค้าและการบริการที่คิดว่าตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็คงรักษาฐานลูกค้าเก่าไว้ด้วย เราพยายามหาจุดเด่นของตัวเอง เพื่อเจาะเข้าถึงตัวลูกค้าได้และต้องเป็นผู้นำทุกเทรนด์ที่สำคัญคือความจริงใจต้องมาก่อน เราจึงจะสามารถครองใจ ผู้บริโภคได สำหรับแผนรุกธุรกิจในครึ่งปีหลังของ FAB จะเดินหน้าภายใต้กลยุทธ์ดังนี้

  1. รีเฟรชแบรนด์ที่มีอยู่ ดึงดูดลูกค้ารุ่นใหม่ เน้นไปที่แบรนด์เรือธงอย่างซานตาเฟ่ ที่มีฐานลูกค้ามากที่สุด ทุ่มงบประมาณกว่า 40-50 ล้านบาทสำหรับการทำการตลาด ปรับภาพลักษณ์และกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ารุ่นใหม่
  2. ขยายพอร์ตแบรนด์ใหม่ เสริมความแข็งแกร่ง ตั้งเป้าเพิ่มแบรนด์ใหม่ 1 แบรนด์ต่อปี มุ่งเน้นแบรนด์ที่มีศักยภาพ เติมเต็มช่องว่างในพอร์ตธุรกิจ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
  3. ขยายสาขาในต่างจังหวัด โดยตั้งเป้าขยายเพิ่ม 40-50 สาขาภายในปีหน้า นำโดยแบรนด์เจ๊แดง สามย่าน แบรนด์อาหารไทยยอดนิยม

ที่จะเน้นขยายสาขาในจังหวัดที่มีศักยภาพ นอกจากนี้มีไฮไลท์สำคัญคือ การเปิดแฟลกชิปสโตร์ รวม 8 แบรนด์ บนพื้นที่กว่า 3 ไร่ ย่านทาวน์อินทาวน์ และการเปิดร้านปิ้งย่างเพื่อเสริมพอร์ตธุรกิจในปี 2568 ด้วย

“ข้อได้เปรียบของการร่วมมือกันของ 3 กลุ่มธุรกิจใหญ่คือการที่มีครัวกลาง ทุกร้านในเครือสามารถใช้วัตถุดิบจากแหล่งเดียวกันได้เมื่อสั่งจำนวนมากต้นทุนก็ลดลงตาม ปัจจุบันต้นทุนวัตถุดิบลดลงกว่า 3% และเชื่อมั่นว่าการบริหารจัดการหลังบ้านได้ดีจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน”

ทั้งนี้นายฉาย กล่าวอีกว่า มั่นใจว่าการลงทุนธุรกิจอาหารในครั้งนี้ จะสร้างแกนรายได้อีกขาหนึ่ง และสามารถสร้าง New S-Curve ให้กับกลุ่ม AQUAได้ เนื่องจากธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเรามั่นใจว่าการลงทุนนี้จะเพิ่ม EBITDA ให้กับบริษัทในระยะยาว และสร้างความมั่นคง เติบโตตามการบริโภคอย่างต่อเนื่อง