นายปรมินทร์ เปรื่องเมธางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ส้มพาสุข จำกัด หรือ YUZU GROUP (ยูซุ กรุ๊ป) กล่าวว่า จากศูนย์วิจัยกรุงศรีระบุว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมร้านอาหารและเครื่องดื่มมีแนวโน้มเติบโต อยู่ที่ 4-5% ต่อปี คิดเป็นมูลค่า 3 แสนล้านบาท
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ภาวะเศรษฐกิจและทิศทางการท่องเที่ยวที่ทยอยฟื้นตัว 2) ผู้ประกอบการขยายสาขาเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่กลับมาปกติ 3) ความนิยมในแบรนด์และช่องทางเข้าถึงผู้บริโภคได้ในหลากหลายพื้นที่
ขณะเดียวกันพฤติกรรมของผู้บริโภคหันมานิยมบริโภคอาหารนอกบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากการระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย ซึ่งมีปัจจัยเร่งจากการขยายตัวของความเป็นเมืองและโซเชียลมีเดียผ่านอินเตอร์เน็ตที่มีบทบาทต่อผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ การแนะนำร้านอาหารใหม่ๆ
การแชร์ประสบการณ์การรับประทานอาหารในร้าน การโปรโมทร้านอาหารผ่านโฆษณาออนไลน์ การสร้างการติดตามจากลูกค้าโดยแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจของอาหาร และการให้สิทธิพิเศษต่างๆ ของร้านอาหาร
ปัจจุบันบริษัทได้วางแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มจำนวนสาขาของแบรนด์ Yuzu Suki และ Yuzu Ramen อีก 2 สาขาในโซนราชพฤกษ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าในพื้นที่ดังกล่าว
ซึ่งมีกำลังซื้อสูงและประกอบด้วยกลุ่มครอบครัวเป็นจำนวนมาก การตัดสินใจขยายสาขาในครั้งนี้สอดคล้องกับผลสำเร็จจากการเปิดสาขาอารีย์ ซึ่งเป็นสาขาแรกนอกเมือง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า
โดยคาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจำนวนสาขาของทุกแบรนด์ร้านอาหารในเครือ YUZU GROUP รวมทั้งสิ้น 33 สาขา ทั้งในและต่างประเทศ สำหรับสัดส่วนรายได้มาจากนั่งทานที่ร้าน 95% เดลิเวอรี่ 5% ซึ่งปัจจุบันบริษัทกำลังศึกษาความเป็นไปได้ในการเปิดตัวแบรนด์อาหารญี่ปุ่นรูปแบบใหม่ (Mass Brand) เพื่อขยายฐานลูกค้าและตอบสนองความต้องการของตลาดที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ยังมีแผนขยายทีมงานเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะของบุคลากรระดับปฏิบัติการให้มีความสามารถในการสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งทางตรงและทางอ้อม เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าทุกท่าน
ในระยะยาวบริษัทมีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการศึกษาและพัฒนาทักษะบุคลากรในอุตสาหกรรมอาหารและบริการ โดยมีเป้าหมายในการเปิดสถาบันฝึกอบรมที่เป็นมาตรฐานของ YUZU GROUP เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้และพัฒนาทักษะให้บุคลากรในวงกว้าง ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานและยกระดับมาตรฐานของอุตสาหกรรม
ส่วนผลประกอบการปีนี้ของบริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 18% ราว 640 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่ทำไว้ 541 ล้านบาท โดยปัจจุบัน YUZU GROUP มีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 12 แบรนด์ ได้แก่ 1) Yuzu Omakase 2) Yuzu Suki 3) Yuzu Sushi
4) Yuzu Ramen 5) Yuzu Honey 6) Thai Thai 7) Kogoro Katsu 8) Chicken Club Thailand 9) Korata โค-ร-ต 10) เนื้อนาบุญ Nuer Na Boon 11) Yuzu Yakiniku
และล่าสุดเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 12) “Duri Buri” ภายใต้แนวคิด Everything Durian ด้วยงบลงทุนราว 3 ล้านบาท โดยนำเอา “ทุเรียน” ด้วยเมนูทุเรียนมากมาย อาทิ ไอศกรีมหลากรส Milkshake และทุเรียนสดๆ รวมถึงของที่ระลึก อาทิ หมอน เสื้อ กางเกง กระบอกน้ำ เป็นต้น
โดยจะเปิดให้บริการวันที่ 1 ต.ค. 2567 เป็นช่วง Golden Week วันหยุดยาวของจีน คาดว่าจะทำให้คนจีนทยอยเข้ามาท่องเที่ยว กิน ดื่มในประเทศไทยกันอย่างคึกคัก โดยร้าน Duri Buri ประเดิมเปิดสาขาแรก ณ Siam Square One ชั้น 1
เหตุผลที่เลือกเปิดแบรนด์ "Duri Buri" เนื่องจากเลือกเจาะตลาดจีนนั้นสอดคล้องกับแนวโน้มการบริโภคของผู้บริโภคชาวจีนที่เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการสินค้าพรีเมียมและของที่ระลึก ผู้บริโภคชาวจีนให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีคุณภาพสูงและมีความเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของ Duri Buri ที่เน้นความหลากหลายของเมนูทุเรียนและของที่ระลึกที่เกี่ยวกับทุเรียน
ประกอบกับประเทศจีนมีตลาดทุเรียนที่มีขนาดใหญ่และเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางและบนที่ให้ความสำคัญกับรสชาติและคุณภาพของทุเรียน อีกทั้งการเจาะตลาดจีนเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างแบรนด์ "Duri Buri" ให้เป็นที่รู้จักในระดับสากล และสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่นในตลาดอาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับแนวทางการตลาดในปีนี้บริษัทจะเน้นการสื่อสารให้แบรนด์ YUZU GROUP เป็นที่เชื่อมั่นในกลุ่มผู้บริโภคทุกกลุ่ม ผ่านการทำการตลาดแบบ Influencer Marketing คือ การทำการตลาดโดยใช้ผู้ที่มีอิทธิพล สร้างความต้องการให้กับผู้บริโภค
โดยผ่านการเขียนรีวิวร้านอาหาร การทำคลิปวิดีโอบนแพลตฟอร์มออนไลน์ อาทิ Facebook, Twitter, Instagram, YouTube และ Tiktok ก็มีบทบาทในวงการธุรกิจร้านอาหารมานาน และแทบจะกลายเป็นสื่อกระแสหลักที่ทำให้ร้านอาหารต่างเลือกมาทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์มากกว่าการโฆษณาผ่านโทรทัศน์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ
ซึ่งจากสิ่งที่กล่าวมานี้ ทำให้ผู้ประกอบการต่างหันมาเลือกใช้ Influencer เพื่อเป็นช่องทางในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับร้านอาหาร เพิ่มยอดขาย และเป็นที่รู้จักได้มากขึ้น